Category ข่าววันนี้

เอ๊ะ จิรากร

เจ้าของร้านเล่านาที "เอ๊ะ จิรากร" ถูกลูกค้าต่อย ยันมีการ์ดดูแล แต่เหตุเกิดขึ้นเร็วมาก

เจ้าของร้านเล่านาที “เอ๊ะ จิรากร” ถูกลูกค้า ต่อยหน้า ยันมีการ์ดดูแล แต่มันเกิดขึ้นเร็วมาก ล่าสุดรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว

จากกรณีคลิปไวรัล เอ๊ะ-จิรากร สมพิทักษ์ ศิลปินหนุ่ม ชื่อดัง วัย 45 ปี เจ้าของ เพลงฮิต จากนี้ไปจนนิรันดร์, ใจกลางความรู้สึกดีดี, ระหว่างเราสองคน อื่น ๆ อีกมากมาย ถูกแฟนเพลง บุกต่อยขณะขึ้น คอนเสิร์ตในผับ จนถึงกลายเป็น ประเด็นร้อน ที่มีชาวเน็ตออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ กันสนั่นโลกโชเชียลฯ

เอ๊ะ จิรากร ถูกลูกค้าต่อย

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 17.30 น. (5 กุมภาพันธ์66)

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณ ร้าน Walk in 88 เลขที่ 57/5 ซอยรังสิต-นครนายก 67 ถนนเลียบคลองสาม ต.ประชาธิปัตย์ อ. ธัญบุรี จ.ปทุมธานี พบกับ นายพัฒนชัย ลำกะ อายุ 45 ปี เถ้าแก่ พร้อมทั้งเปิดเปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์

ทางร้านได้มีการจัดคอนเสิร์ตของ คุณเอ๊ะ จิรากร ซึ่งทางคุณเอ๊ะ ได้ขึ้นไปร้องเพลง ประมาณก่อนเที่ยงคืน ซึ่งทางคุณเอ๊ะ ก็ได้แสดงไปตามปกติ โดยมีชายเสื้อขาว ซึ่งก่อนที่จะขึ้นไปทำร้าย คุณเอ๊ะนั้น ชายดังกล่าวได้ถือเครื่องดื่ม ที่เป็นแก้วช็อต แล้วได้มากิน ด้านหน้าเวทีกับคุณเอ๊ะ

จากนั้นเขา ก็เดินไปรวมทั้งเดินกลับมาอีกรอบ ซึ่งทางการ์ด ก็เห็นแล้วว่าชายคนนี้ เคยเดินถือแก้ว ไปดื่มกับคุณเอ๊ะแล้ว ครั้งสองครั้ง การ์ดก็เลยไม่ได้มีความคิดว่าจะต้องระวังชายคนนี้

แต่จังหวะ ที่เขาเดินมาแล้วจู่ ๆ ก็เดินก้าวขึ้นเวทีไปเลย ซึ่งทางร้านค้าก็มีระบบ รักษาความปลอดภัย ราวกับที่ตน ได้คุยกับทางการ์ด ไว้แล้ว คือลูกค้าหรือคนดูไม่สามารถ ขึ้นไปบนเวทีได้ ซึ่งทางการ์ดมองเห็น ก็เลยได้เดินไปกัน ตัวออกมา จังหวะที่ดึงตัวลงมา คงมีอารมณ์โกรธ จึงได้ผลักการ์ด แล้วหันไปต่อยคุณเอ๊ะเลย โดยกลุ่มชายดังกล่าว มาด้วยกันทั้งหมด ประมาณ 8-9 คน โดยกลุ่มชายดังกล่าว ไม่ใช่ลูกค้าประจำที่ร้าน แต่จองผ่านเพจมา แล้วเวลาเขาเข้ามา ไม่ได้มาทีเดียว 8-9 คน

ใจกลางความรู้สึกดีดี

แต่เดินทางมา ทีละคนสองคน ทยอยกันเข้ามา โดยทางคุณเอ๊ะ ร้องไปประมาณ 3-4 เพลง พอเพลงที่ 3 ก็เห็นว่าชายดังกล่าวเดิน เอาเครื่องดื่มไปชนกับคุณเอ๊ะแล้ว ซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ทางร้านค้าโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ทันทีเลย

แต่เนื่องด้วยวันนั้นคนในร้านเยอะมาก ซึ่งผู้ที่ก่อเหตุ ก็อาศัยช่วงที่วุ่นวายแอบหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกน้อง ที่ร้านค้าตามออกไป

แต่เขาก็ขับรถไปเร็วมาก จึงทำให้ตามไม่ทัน จากนั้นตำรวจก็เข้ามาถึงแล้วหลังจากนั้นก็ เข้าเคลียร์พื้นที่มาจัดการ ภายในร้านค้า มาไต่ถามเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ซึ่งในพื้นฐานได้ทำการนัดหมาย ไว้ว่าวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์

ทางผมจะเดินทางไปแจ้งความเพื่อฟ้องร้องคดีกับลูกค้า คนนี้ให้ถึงที่สุด เพราะว่า ทางร้านค้าเปิดมา 6 ปี จัดการแสดงดนตรีมาแล้ว 20-30 ศิลปินแล้ว ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้

ส่วนทางด้านคุณเอ๊ะ ได้รับบาดเจ็บบริเวณ กกหูด้านซ้าย เป็นรอยแดง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่เขาเหวียงแขน ไปโดน ซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ตัวผมเองก็เดินเข้าไปพบคุณเอ๊ะ ที่ห้องรับรองเลย เพราะว่าตอนที่เกิดเหตุ ผมเองไม่ได้อยู่บริเวณนั้น แต่เดินอยู่รอบ ๆ ร้าน

แล้วมีเด็กวิ่งมาบอก ผมก็เลยได้เดินตามเข้าไปหาคุณเอ๊ะ ที่ห้องรับรองศิลปิน ไปถาม เหตุการณ์และก็ขอโทษเขา ซึ่งเหตุการณ์ มันเกิดขึ้นเร็วมาก ซึ่งตอนนี้ทางร้านค้ารู้ชื่อลูกค้า คนดังกล่าวแล้ว ทั้งชื่อนามสกุล เลขบัตรประชาชน ที่อยู่ทั้งหมดแล้ว

เอ๊ะ จิรากรเคลื่อนไหวแล้ว

“เอ๊ะ จิรากร” เคลื่อนไหวแล้ว หลังถูกแฟนเพลงบุกต่อยกลางการแสดงดนตรี

สืบไปจากกรณี คลิปไวรัล เอ๊ะ-จิรากร สมพิทักษ์ ศิลปินชายหนุ่มมีชื่อเสียง วัย 45 ปี เจ้าของเพลงได้รับความนิยม จากนี้ไปจนนิรันดร์, ใจกลางความรู้สึกดีดี, ระหว่างเราสองคน ฯลฯ ถูกแฟนเพลงบุกต่อยขณะขึ้นคอนเสิร์ตในผับ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อน ที่มีชาวเน็ตออกมาวิพากษ์ วิจารณ์กันสนั่นโลกโชเชียลฯ

กระทั่งล่าสุด ทางด้าน เอ๊ะ จิรากรก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว เป็นครั้งแรก โดยเป็นการใช้พื้นที่บนเฟซบุ๊ก @Ae Jirakorn โพสต์ข้อความกล่าวถึงการให้เกียรติ รวมถึงขอบคุณแฟนคลับรวมทั้งทุกๆคน ที่ส่งกำลังใจและความเป็นห่วงมาให้กับตัวเองในช่วงที่ผ่านมา

“รักในผลงาน รักในตัวศิลปิน เราทุกคนก็ควรให้เกียรติกันนะครับ ขอบคุณทุกความห่วงใยของทุกคนนะครับ ช่วงนี้นักร้องโดนกันเยอะจริง ๆ”

จิรากร สมพิทักษ์ หรือเอ๊ะ จิรากรเป็นนักร้องไกด์ ให้แก่ศิลปินดัง ๆ หลายคน ทั้งยังยังเป็นนักร้องนำวง Nothing To Lose รวมทั้งได้เซ็นสัญญา เป็นศิลปินในสังกัด WE records ของเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อปี พ.ศ. 2554 หลังจากนั้นออกซิงเกิ้ล เพลง “ไม่มีตรงกลาง” และก็เพลง “จากนี้ไปจนนิรันดร์” ในอัลบั้ม Project Love Pill ซึ่งเป็นผลงานเพลงที่ทำให้เป็นที่รู้จัก

เป็นชาวอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ศึกษาที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จนเรียนจบ ทำวงเล่นตามผับ และทำเพลงใต้ดิน แต่ไม่ได้มีผลงานออกมาสู่สาธารณชน และก็ได้เข้ามาทำงาน กับค่ายเพลงใต้ดิน ซึ่งมีวง Dezember กับ Heretic angle เป็นวงหลัก

ต่อจากนั้น เข้ามาเป็นศิลปินฝึก สังกัดอัปจี ในเครือแกรมมี่ แล้วก็ช่วยทำเพลง วงโปเตโต้ ด้วยในชุดรีเฟรช

รวมทั้งได้รู้จักกับ ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม ที่ชักชวน ไปเป็นนักร้องไกด์เพลง จนถึงได้ร้องเพลง เพลงแรกคือ “ไม่มีตรงกลาง” หนึ่งในเพลงในอัลบั้ม Project Love Pill กระทั่งได้มาทำอัลบั้มชุดแรก ใจกลางความรู้สึกดีดี ออกในปี 2555

ปัจจุบันนี้กลับมาโด่งดังอีกครั้ง หลังถอดหน้ากากอีกาเหล็ก ในรายการ The Mask Singer สังกัดศิลปินค่าย แกรนด์มิวสิก เจ้าของเพลง “ตราบที่ยังหายใจ” ด้านครอบครัวแต่งงานและก็มีลูก 3 คน

ชูวิทย์ และ สกาย

ตร. เล็งสอบต่อ ‘สกาย’ หลัง ‘ชูวิทย์’ แถลงปมโดนรีด 2.7 หมื่นแลกปล่อยตัว

ชูวิทย์ และ สกาย ตำรวจเตรียมตัวสอบปากคำนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ เงื่อนจ่าย 2.7 หมื่น ตำรวจแลกเปลี่ยนปล่อยตัว ที่โรงแรมเดอะเดวิส ในช่วง 15.00 น. วันนี้ ก่อนนำข้อมูลลงสำนวน จัดแจงฟ้องร้องคดีจำนวน 7 นาย

จากกรณีช่วงเย็นวานนี้ (31 ม.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาโพสต์รูปภาพคู่กับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ หรือนายสกาย เพื่อนชายของเน็ตไอดอลสาวชาวไต้หวัน ที่ออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่า เป็นคนจ่ายเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับตำรวจ สน.ห้วยขวาง ขณะตั้งด่านตรวจหน้าสถานทูต จีนช่วงกลางดึก ต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นั้น

คืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เดินทางเข้าประชุมกับชุดเจ้าหน้าที่สอบสวน ติดตามประเด็น ดาราสาวชาวไต้หวัน ถูกตำรวจห้วยขวางไถเงิน โดย พล.ต.ต.อัฎธพร เปิดเผยก่อนเข้าประชุมว่า ตำรวจเตรียมตัวสอบปากคำนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ที่โรงแรมเดอะเดวิส ในช่วง 15.00 น. วันนี้ ก่อนนำข้อมูลลงสำนวน จัดแจงฟ้องจำนวน 7 นาย โดยนายชูวิทย์ จัดแจงนำนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ ออกมาแถลงข่าวในเวลา 14.00 น. ของวันนี้

สกาย แถลงปมโดนรีด 2.7 หมื่น

ล่าสุดมีกล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ติดต่อผ่าน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้าพบเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเวลา 15.00 น. โรงแรมเดอะเดวิส สุขุมวิท 24 ด้วยเหตุว่าไม่สะดวกเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วก็ต้องการให้นายชูวิทย์ ร่วมเป็นพยาน ในการให้ถ้อยคำแล้วก็ให้ข้อมูลดังกล่าว ส่วนภายหลังการสอบปากคำแล้ว จะนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการดำเนินคดีกับตำรวจได้หรือไม่นั้น ขึ้นกับการให้การของนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ ในวันนี้

ขณะที่ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยก่อนประชุมกับทีมพนักงานที่ทำหน้าที่ด้านการสอบสวน ชุดคลี่คลายคดีตำรวจขูดรีดเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ว่า หลังได้ข้อมูลจากนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ในช่วงบ่ายวันนี้ พนักงานที่มีหน้าที่สอบสวนจะนำข้อมูลมาประกอบสำนวน เพื่อพิจารณาฟ้องร้องคดีอาญามาตร 149 กับตำรวจอีกทั้ง 7 นาย จากเดิมที่ตั้งข้อหามาตรา 157 กับตำรวจเพียงแค่ 2 นาย ประกอบด้วยตำรวจชั้นประทวน 1 นาย แล้วก็ตำรวจชั้นสัญญาบัตรอีก 1 นาย ส่วนที่เหลืออีก 5 นาย อยู่ระหว่างการสอบปากคำ กระทั่งช่วงเย็นวานนี้ มีการวิเคราะห์เพิ่มพบว่าตำรวจอีกทั้ง 5 นาย ที่ปรากฏอยู่ในคลิป มีข้อพิรุธสงสัยอาจมีส่วนทราบเหตุการณ์ด้วย ก็เลยจะดำเนินการเอาผิดด้วยทั้งหมด แต่รอผลการสอบสวนนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ในช่วงบ่ายวันนี้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามในส่วนการดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ในฐานะผู้ให้สินบนนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เหตุเพราะการจะดำเนินคดีในข้อหานี้ได้ นักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ต้องอยู่ในฐานะผู้เสนอติดสินบนเจ้าหน้าที่ ไม่ได้ถูกข่มขวัญบังคับ ด้วยเหตุดังกล่าวการสอบปากคำนักท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์ในบ่ายวันนี้จึงสำคัญมากรวมทั้งเป็นการสอบปากคำในฐานะพยาน โดยทีมสอบสวนได้เตรียมรูปถ่ายตำรวจชุดตั้งด่านในวันเกิดเหตุทั้ง 14 นาย ให้ผู้เสียหายชี้ใน 3 ประเด็นหลักๆคือ จ่ายเงินให้กับใคร/ใน 14 คนนี้ มีใครบังคับข่มขู่เข็ญเรียกเงิน แล้วก็มีใครมีส่วนทราบเรื่องจาการรีดรับเงินในครั้งนี้บ้าง

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวสารตำรวจจะเดินทางไปสอบปากคำเน็ตไอดอลสาวที่ประเทศไต้หวันนั้น การจะเดินทางไปหรือไม่ ขึ้นกับผลการสอบปากคำชาวสิงคโปร์ในช่วงบ่ายถ้าเกิดพบว่า ผู้เสียหายชาวประเทศสิงคโปร์เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาท เพียงแต่คนเดียว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปสอบสวนเน็ตไอดอลสาว เพราะว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียที่หายที่ตามที่เป็นจริง คือนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ แต่แม้ผลการสอบสวนพบว่าเน็ตไอดอลสาว ร่วมจ่ายเงินด้วยแม้เพียงแต่บาทเดียว ตำรวจก็จำเป็นจะต้องต้องเดินทางไปสอบคำให้การเน็ตไอดอลสาวไต้หวันด้วย ในฐานะผู้เสียหายร่วม

นอกจากนี้ นักข่าวพยายามสอบถามกรณีการโยกย้าย พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สถานีตำรวจห้วยขวาง ไปเป็น ผู้กำกับการสน.หนองจอก ใช่บทลงโทษจากกรณีนี้หรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ระบุเพียงสั้นๆว่า ตนไม่ทราบ ทุกอย่างเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา

ชูวิทย์พร้อมปี้บ

‘ชูวิทย์’ เปิดพยานชาวประเทศสิงคโปร์ ย้ำ ตร.ไถเงินจริง เผยกล่าวไทยด้วยโดนสวนกลับ “อย่ากวนตีน”

‘ชูวิทย์’ เปิดตัว ‘สกาย’ พยานชาวประเทศสิงคโปร์ รับถูกตร.รีดไถเงินจริง แจงราคาค่าเสียหายบุหรี่ไฟฟ้าอันละ 8,000 ไม่พกพาสปอร์ตเล่มละ 1,000 เผยพูดไทยด้วยแต่โดนสวนกลับ “อย่ากวนตีน” ยันไม่เมา-จำหน้าได้ทุกคน
เวลา 14.00 น. วันที่ 1 ก.พ. 2566 ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย จัดแถลงข่าวกรณีของ อันหยูชิง หรือ Charlene An ดาราสาวไต้หวันกับกลุ่มเพื่อนที่บอกว่าถูกตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน 27,000 บาท โดยก่อนแถลงชูวิทย์ได้ตีปี๊บ และก็กล่าวว่าจะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคลุมศรีษะไว้ เพื่อซ่อนจากข้อข้อเท็จจริงที่จะเปิดเปิดเผย

ชูวิทย์ กล่าวว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่มีการทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ ที่มีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด 19 เนื่องจากว่าแทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจร กลับต้องมากลัวตำรวจที่ควรดูแลความปลอดภัยของพวกเขา

“ถ้าเกิดถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหายตนก็มั่นใจว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะเหตุว่าทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นกลาง อีกทั้งที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ยัดเยียดข้อหามาตลอด แม้เทียบตำรวจไม่ดีเป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดออก เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว” ชูวิทย์ ระบุ

จากนั้น เวลา 14.20 น. ชูวิทย์ ได้เชิญ สกาย ชาวสิงคโปร์ เพื่อนของอันหยูชิง มาร่วมแถลงข่าวสาร

โดย สกาย กล่าวว่า ถ้าเกิดไม่ไว้ใจ ชูวิทย์ ก็คงไม่เดินทางมา วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนและก็อันหยูชิง ไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้น ระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่บริเวณถนนหนทางรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้จอดรถเข้าข้างทางแล้วก็ให้ทุกคนลงจากรถ ก่อนเข้ามาจับตามตัว ค้นกระเป๋า ขอให้นำพาสปอร์ตออกมาแสดง รวมถึงให้ถอดรองเท้าด้วย ดังนี้ ในวันดังกล่าวตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก

สกาย กล่าวต่อว่า จากตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน พร้อมถามต่อว่ามาจากประเทศไหน โดยในตอนนั้น ทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยแล้วว่า ทำไมตำรวจทำเสมือนเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งสั่งห้ามใช้โทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฝั่งตนมีเพียงแค่ตัวเองที่สื่อสารภาษาไทยได้

ยิ่งไปกว่านี้ สกาย อ้างด้วยว่า ระหว่างที่ตนถามถึงสาเหตุของการตรวจค้น ทางเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า “อย่ากวนตีน” ซึ่งมั่นใจว่าตนและก็เพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน เพราะว่าตามปกติแล้ว การเดินทางเข้าประเทศไทย คนสิงคโปร์ไม่ต้องต้องมีวีซ่ายกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 30 วันขึ้นไป ซึ่งตนเดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2565 เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่แล้วก็อยู่ต่อเนื่องมาจนกระทั่งวันที่ 5 ม.ค. 2566 ที่เป็นวันกำหนดเดินทางกลับ

ในส่วนของหนังสือเดินทางที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนได้ตอบไปว่าเอกสารต่างๆอยู่ที่ที่พัก และก็มีรูปแสกกลางนเก็บเอาไว้ภายในโทรศัพท์ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ฟังแล้วก็พยายามโต้แย้งว่าต้องแสดงเอกสารทันที ห้ามไปไหน รวมทั้งพยายามแจ้งว่าการที่นำเอาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด

สกาย จึงแจกแจงถัดไปว่า บุหรี่ไฟฟ้าซื้อมาจากร้านค้าที่วางขายย่านตลาดห้วยขวาง แล้วก็ไม่รู้ดีว่าผิดกฎหมาย เนื่องจากมองเห็นวางขาย โดยทั่วไป แล้วก็ การมาเมืองไทยครั้งนี้ เนื่องจากว่าต้องการออกมากล่าวความจริงทั้งหมด ไม่รู้สึกกังวลในการให้ข้อมูลกับตำรวจ

เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จ เจ้าหน้าที่เริ่มมีท่าทีขุ่นเคือง พูดว่าทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจแล้วก็ต้องอยู่ที่กรงขังในสน.อย่างน้อยอีก 2 วัน เมื่อพูดจาอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจก็เข้ามาอธิบายให้ตนเองฟังว่า “บุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาท ส่วนที่ไม่เจอพาสปอร์ต 3 คน อีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท”

โดย สกาย เปิดเผยว่า ขณะนั้นมีเงินติดตัวอยู่ 30,000 บาท เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย ตำรวจก็เรียกแท็กซี่ให้และก็ให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ ยืนยันว่า ตำรวจกลุ่มดังกล่าวแสดงท่าทีและก็พูดจาในลักษณะบังคับให้จ่ายเงิน และก็ตัวเองไม่ได้เสนอให้

ทั้งนี้ ตำรวจที่เข้ามากล่าวคุยเรื่องเงินมี 3 นาย โดยนายแรก เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมแจ็คเกต มีหนวดเครา ทำหน้าที่ในการเรียกรวมทั้งรับเงินจาก สกาย และก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ส่วนตำรวจนายที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้องวงจรปิด ส่วนตำรวจนายที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้าเข้ามาร่วมรับฟังการบอกคุยด้วย

“ส่วนตัวมีความคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าเกิดอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล หากสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรรวมทั้งบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว” สกาย กำหนด

ขณะเดียวกัน ชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาล (สถานีตำรวจ) ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้ สกาย ดูก่อนถามว่า จดจำใครได้บ้าง ซึ่ง สกาย ผงกศีรษะตอบรับ พร้อมยืนยันว่าจำได้ทุกคน

แถลงปมโดนรีด 2.7 หมื่น

ในตอนท้ายชูวิทย์ กล่าวว่า ในนามของคนไทยต้องขอโทษถึงการกระทำของตำรวจ พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลลาออกด้วย

อย่างไรก็ดี เวลาประมาณ 15.30 น. สกาย ลุกออกจากบริเวณแถลงข่าว พร้อมกับที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมพิจารณาการณ์การสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์คนสำคัญใน โดยได้ให้คณะกรรมการและก็ทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย ร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียดแล้วก็ครอบคลุมทุกประเด็นถัดไป

BoycottBOC หลังผู้บริหารโพสต์คลิปให้กำลัง

ชาวเน็ตติด #BoycottBOC หลังผู้บริหารโพสต์คลิปกอดให้กำลังใจ บิว จักรพันธ์

# BoycottBOC ยังเป็นประเด็นร้อน ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนัก สำหรับกรณีนักแสดงหนุ่ม ซีรีส์วาย บิว จักรพันธ์ พุทธา เปิดใจแถลงข่าว ครั้งแรกเงื่อนประเด็นรังแกร่างกายอดีตแฟนสาวนักเขียน
ที่นอกเหนือจากที่จะไม่ได้ออกมา แถลงคู่กับอดีตแฟน สาวตามที่ต้นสังกัด Be On Cloud แจ้งเอาไว้ในจดหมายตั้งแต่แรก
เพราะฝ่ายหญิง ต้องการจะพูดเรื่องดังกล่าว ในชั้นศาล ทำให้ บิว จักรพันธ์ ออกมาเปิดใจ เพียงคนเดียว และในคลิปดังกล่าว
ก็มีเพียงแต่ไม่กี่นาที และ ไม่ได้ออกมาแจกแจงถึง เรื่องที่เกิดขึ้นแบบชัดเจน ทำให้กระแส ยิ่งร้อนแรงมากขึ้น

รวมทั้งกระแส ดังกล่าวดูจะยิ่ง ร้อนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อ ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช ผู้บริหารค่าย Be On Cloud ก็โพสต์คลิปกอด บิว จักรพันธ์
พร้อมกับเขียนข้อความว่า “บิวไม่เคยเป็นน้องที่ไม่น่ารัก หรือ ไม่ดีกับพี่แม้แต่ครั้งเดียว และมันยังคงเป็นแบบนั้นเสมอ ขอให้ทุกอย่างกับทุกคนดีขึ้น และ เหมาะสมในเร็ววัน @บิวคนใหม่”

จากนั้น ก็มีแฟนคลับ รายหนึ่งคอมเมนต์ว่า “you never protected him, stop acting like you care” ซึ่งมีความหมายว่า
คุณไม่เคยปกป้องเขา เลิกทำเป็นเหมือน คุณแคร์เขาได้แล้ว ก่อนที่ปอนด์จะตอบกลับไปแบบสุดเดือดว่า
“ยุ่งไรวะ รู้ไร ว่าเค้าผ่านไร กันมาบ้าง นี่ ig ส่วนตัวจะโพสต์ไรก็เรื่องของเจ้าของ ig ไม่ถูกใจ ก็ block ไปดิ จะมาดูมาเม้นเพื่อไรวะ สะเหล่อ”

ทำเอาชาวเน็ต ที่ได้เห็นคลิปและ ข้อความดังกล่าว พากันโพสต์ข้อความ วิจารณ์สนั่นโซเชียล รวมทั้งติดแฮชแท็ก #BoycottBOC
อาทิ #BoycottBOC อันนี้ช็อกจริง ๆ นะ อย่าไปมองหา ถึงความเป็นคนเลย เอาแค่วุฒิภาวะ ในฐานะซีอีโอค่าย ก็ไม่ผ่านแล้วปะ
การควบคุมอารมณ์แสดงออกต่อที่สาธารณะติดลบอะ รู้ดีว่าตัวเองมีซอฟต์พาวเวอร์หลายด้านแต่ก็ยังเลือกที่จะแสดงออกแบบนี้ โคตรแย่,
กว่าจะเข็น ยอดฟอล ขึ้นได้แต่ละที วันนี้พัง เนื่องจากอิปธ.ค่ายพาล้มทีเดียว
ตู้มมมมม จาก9แสนเหลือเพียงนี้แหละ แล้วก็ยอดลง เรื่อย ๆ ทุกช่องทาง ก็ตามนั่นแหละ #BoycottBOC,

บิว จักรพันธ์ พุทธา
“ลดความเป็นครอบครัว เพิ่มความเป็นคนบ้างนะประธาน” มีความเป็นกลาง ของประธาน = # BoycottBOC ฯลฯ

นอกจากนั้น ยังมีคนตั้ง ข้อสังเกตว่า การแสดงดนตรี KinnPorsche World Tour 2023 ซึ่งเป็นการแสดงดนตรี ของค่าย Be On Cloud ที่จะจัดขึ้น วันที่ 25 ก.พ. 2566
โดยเปิดให้ กดจองบัตรวันนี้ (29 ม.ค. 2566) บัตรเหลือเยอะกว่าปกติ ทั้งยังที่งานก่อนหน้า นี้บัตรหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่นาที
กลายเป็นกระแสวิจารณ์แล้วก็ติดแฮชแท็ก #kinnporscheworldtourinbkk คู่กับแฮชแท็ก #BoycottBOC ด้วย

“บิว จักรพันธ์” ประกาศ ลาออกจากค่าย รับชีวิตพังทลายจากข่าว หายใจยังผิด พร้อมต่อสู้คดี แฟนนักเขียนที่ชั้นศาล

“บิว จักรพันธ์” แถลงลาออก จากการ เป็นนักแสดงสังกัด Be On Cloud ยันที่ผ่านมากล่าว ด้วยความซื่อตรงจริง แต่ความจริง ที่มองเห็นในนั้น
ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด บอกชีวิตพังทลาย ถึงแม้แต่หายใจ ก็ยังผิด พร้อมสู้ที่ชั้นศาล

หลังจากที่ต้นสังกัด Be On Cloud ออกมายกเลิก การแถลงข่าวสาร คู่กันเมื่อวานนี้ กับกรณี “บิว จักรพันธ์ พุทธา” นักแสดงซีรีส์วายเรื่อง “KinnPorsche The Series”
โดนอดีตแฟน สาวนักเขียน “ปอย พรรธน์ชญมน ธีวสุเจริญ” เปิดโปงพฤติกรรม ด้านมืด บนโลกโซเชียล รวมทั้งปฎิเสธ ที่จะร่วมแถลงข่าว
จัดการประเด็นคู่กัน หลังจากที่เคยแจ้ง ไว้ก่อนหน้านี้ โดยแฟนสาวนักเขียน ได้ร่อนจดหมายแจกแจงเหมือนกัน
พร้อมกล่าวว่า เจอกันที่ศาลเท่านั้น และก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดถ้ามีคำพูด ที่ไม่เป็นความจริงออกไป ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด

BoycottBOC

วันนี้ บิวก็ได้ออกมาแถลงข่าวเปิดใจถึงเรื่อง ทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยเปิดเผยว่า….

“สวัสดีครับผมนาย จักรพันธ์ พุทธา วันนี้ที่ผมออกมาพูดเพราะเป็นความต้องการของผมเอง จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่เป็นข้อพิพาททางสังคมอยู่ ณ ตอนนี้
มันได้ส่งผลกระทบกับทางค่าย ครอบครัว และเพื่อนฝูงนักแสดงของผมที่เปรียบเสมือนครอบครัว และคนใกล้ตัวของผมเองด้วย และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้
ผมอยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบว่าผม นาย จักรพันธ์ พุทธา ขอประกาศลาออกจากการเป็นนักแสดงในสังกัดค่าย Be On Cloud ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

สิ่งที่ผมจะพูดต่อแต่นี้ไป ผมยืนยันว่า ผมพูดจากใจจริง และผมขอกล่าวเลยว่า
ผมกล่าวซื่อสัตย์ จริงทุกประการ ในวันนั้นที่ผม ออกมาบอก ผมมีเจตนาที่จะยุติ เรื่องราวทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตผม
มาสักระยะนึง แล้วครับ จนกระทั่งวันนี้ผมตัดสินใจ ว่าผมจะต้องออกมาต่อสู้ เพื่อปกป้องรักษาตัวเองบ้าง
สิ่งที่ทุกคนรับรู้หรือพบเห็น ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ผมเป็นมนุษย์คนนึง ผมยอมรับว่า ผมไม่ได้สมบูรณ์แบบ หากว่าสิ่งที่ปรากฎ จะตีความว่าผมแย่แค่ไหนก็ตาม

แล้วก็สิ่งที่ผมโดน มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหว ชีวิตผมต้องพังทลายลง ทั้งหน้าที่การงาน เกียรติศักดิ์ สังคม ครอบครัว ทุกอย่าง ตอนนี้
ผมไม่เหลืออะไร แล้วครับ แม้กระทั่งตอน นี้ที่ผมกำลังนั่งหายใจอยู่ ผมก็ยังผิด ผมไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้แล้วครับ

สิ่งที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ผมอยากให้ ทุกคนรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงแค่ส่วนนีง
จากนี้ผมขอเอาความจริง ทั้งหมดไปสู้ในชั้นศาล ผมจะต่อสู้ เพื่อคนที่ผมรัก ที่ยังรักผม คนที่เชื่อมั่นในตัวผม รวมทั้งตัวผมเองด้วย ผมขอให้ทุกคน อดทน
และผมก็จะทรหดอดทน แล้วก็เข้มแข็ง เพื่อรอผลคดีในชั้นศาล จากนี้ผมยังมั่นใจว่าความจริง จะชนะในที่สุด และผมก็เชื่อว่า
กระบวน การยุติธรรมจะให้ ความยุติธรรมกับผม และผมก็ต้องขอ ขอบคุณ อย่างยิ่งที่ทาง บริษัท Be On Cloud ให้โอกาสผมได้บอกเป็นครั้งสุดท้าย ผมขอขอบคุณมากครับ (ยกมือไหว้)”.

ทักษิณ

‘จตุพร’ ย้อนแสบ ‘ทักษิณ’ ท่านก็หมา ถ้านับบรรดาศักดิ์ของหมู่หมาก็เป็น ‘จ่าฝูง’

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน และก็อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต้านทานเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เชื่อมั่น…ประชาชน” โดยนายจตุพร กล่าวว่า ตนกับ ทักษิณ รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2527 เมื่อครั้งทักษิณ เป็นหัวหน้าพลังธรรมวันแรก จากนั้นร่วมเดินสายการเมืองร่วมกันมา 30 ปี หากตนคิดเอาแต่ตนเองแล้วก็เอาประโยชน์ส่วนตน แล้วจะอยู่ร่วมกันไม่ได้เลย แม้ทักษิณพูดสาธารณะ จะให้เป็น รมต. แต่ไม่ได้ ตนก็ยังอยู่รวมทั้งไม่คิดถึงกรณีนี้

เหนืออื่นใดแล้ว การต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมามีความตายมากมาย ตำแหน่ง รมต. เป็นหัวโขนเล็กมาก เมื่อเทียบกับความตายของประชาชน กระทั่งถึง พรรคเพื่อไทยจะออก พรบ.สุดซอย ตนรับได้ยากมาก เพราะต้องการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนที่กำลังติดคุก แต่รัฐบาลไม่ยอมออกพระราชกำหนด (พรก.) กลับมาออกเป็น พรบ. แทน แล้วไปแปลงสาร ขยับเพิ่มให้นิรโทษกรรมแกนนำและก็พ่วงคดีคดโกงเพื่อให้เป็นประโยชน์กับทักษิณได้กลับบ้าน

สิ่งสำคัญ ตนทักทวงว่า หากนิรโทษฯ นอกเหนือประชาชนแล้ว มันจะล้มครืนลง แล้วประชาชนจะติดคุก และก็จะไม่มีโอกาสอีกเลย เขาก็ไม่ฟัง แล้วไปพูดที่ประเทศนอร์เวย์ว่า ตนไม่ต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน ทั้งที่ในวงกล่าวคุยยุทธศาสตร์ของพรรคมีรองนายกฯ และก็ รมต. แล้วก็ พี่เปียมองเห็นด้วยกับตนว่า อย่าเอาเรื่องคนอื่นนอกจากประชาชนมา ถ้าเกิดเอาทักษิณกลับบ้านต้องทำวาระอื่น แต่วาระนี้ต้องตอบแทน ประชาชน ส่วนที่ตายแล้วก็บาดเจ็บเอาชีวิตและก็ร่างกายกลับคืนมาไม่ได้ แต่คนกำลังสูญเสียเสรีภาพ นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้น แล้วท่านก็โกรธ

“ผมต้องการถามทักษิณว่า ตอนทำเรื่องนิรโทษฯ สุดซอย มีใครไปพบท่านแล้วอยู่กับท่าน ในวงการเขานินทากัน มีเครื่องบินลอยละลิ่วกันเป็นลำ แต่ทั้งหมดเมื่อไปไม่ได้ อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาพูดที่หลังว่า เมื่อไปไม่ได้ก็คิดว่าจะกลับมาได้ วันนั้นผมจิตใจสลาย เพราะ จะไม่มีเหตุการณ์ชุมชนของประชาชนเต็มถนนเลยหากเอาเฉพาะประชาชน แต่ไม่ฟังเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว”

จตุพร ทักษิณ

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ ทักษิณ พูดว่า ช่วง 16 ปีท่านก็ถูกเห่า

นับตนเป็นตัว และก็ตั้งชื่อนางแฝงให้ ตัวเองว่า ถูกเห่า ท่านพูดว่าไม่ต้องมาฟังตน ให้ใช้น้ำยาล้างหูไป ก็พยายามเลี่ยง แล้วก็ใช้ถ้อยคำว่า ถูกเห่ามา 16 ปี 2-3 ตัวรวมทั้ง บางตอนก็ 4-5 ตัว มีการนับเป็นตัว เขาบอกภาษาไทย ไม่แข็งแรง แล้วหัวเราะกันสนุกสนาน

“ผมกับนายกฯทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกัน มาในช่วงอยู่ประเทศไทย แล้วก็ผ่านวีดีโอลิงค์ ต่างกรรมต่างวาระกัน มายาวนานที่สุด ถ้าหากการพูดของผมเป็นการเห่า บนเวทีนี้ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมหมา ท่านก็หมา ท่านอาจเป็น จ่าฝูง ถ้าเกิดนับบรรดาศักดิ์ของหมู่หมาด้วยกัน”

นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าหากหลักคิด ของทักษิณมองดูผู้ร่วมต่อสู้ด้วยกันเป็นหมา เป็นตัว แล้วหลีกเลี่ยง การตอบความจริง ด้วยเหตุผลดังกล่าวท่านต้องคิดช้า ๆ ว่า สิ่งที่ท่านดำเนินการทั้งหมดไปนั้น ถ้าเกิดตรงไปตรงมา กับประชาชน และไม่พูดถึงตนในทางเป็นเท็จและก็เกิดความเสียหายในช่วงนี้ แล้วตนจะมาบอกเรื่องนี้ในช่วงนี้เพราะเหตุใด

ยิ่งกว่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา หากตนคิดถึงผลประโยชน์แล้วจะอยู่กับท่านได้อย่างไร ด้วยเหตุว่า ท่านทรยศหักหลังตนตลอดเวลา โป้ปดมดเท็จจำเจ พูดเท็จแล้วพูดเท็จใหม่ซ้ำกันไปซ้ำกัน อย่างไรก็ตาม ตนต้องไปก่อนการยึดอำนาจ เนื่องจากหักกันเรื่องนิรโทษฯ สุดซอย ทั้งยังเรื่องส่วนตัวก็โกหก และก็ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลง ไม่ว่าเรื่องลงนามรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แล้วก็เรื่องแก้ รัฐธรรมนูญ และก็การทุจริตฉ้อโกง

แล้วก็ย้ำว่า ตนกล้ำกลืน ต้องการรักษาความรู้สึกของพี่น้องเสื้อแดง เพราะว่าเขาตาย เขาเจ็บ หลังการสลายชุมนุม (ปี 2553) ตนตระเวณทุกพื้นที่ท่ามกลางความตาย แต่ทักษิณเสนอให้หนี แต่ตนไม่หนี ซึ่งขณะนั้นเสื้อแดงรวมทั้ง พรรคเพื่อไทยตกต่ำที่สุด เราก็พากันพลิกฟื้น รวมทั้งชีวิตตลอดเส้นทางนั้น หากตนจะเอาตัวรอด ก็ต้องเอาตัวรอดแล้ว แต่ทำไมตนก็เลยยืนขึ้นสู้ต่อ

“ตลอดเวลาที่ท่านหักหลังผมนั้น ถ้าผมคิดเรื่องส่วนตัว ผมจะมาสู้ที่อักษะต่อหรือ? จนกระทั่งมาเห็นมีการสมคบคิด ในเรื่องการรัฐประหาร ทักษิณไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปี 2553 หรือ? และ (ยิ่งกว่าสิ่งใด) ความมีชัยที่ประชาชนแลกชีวิต ด้วยเลือดเนื้อมาให้นั้น เป็นการแบกความหวังไว้ทั้งหมด

นายจตุพร กล่าวว่า ในเรื่อง ICC ก็ไม่กล้ารับ เพราะว่ากลัว พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจ แล้วท้ายที่สุดมา สลายคนเสื้อแดง เพื่อไปพึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่การชุมนุมตกลงแบ่งกันทำงาน เสื้อแดงคุมเวที พรรคเพื่อไทยจัดระดม ประชาชนมาชุมนุม แล้ววันหนึ่งจากคนเป็นหมื่น แล้วมาเหลือหลักร้อยจะให้คิดกันว่าอย่างไร กระทั่งวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ เรียกพูดจา แล้ว 22 เดือนพฤษภาคม 2557 ก็ยึดอำนาจ

อย่างไรก็ตาม ตนยังบากหน้ากล้ำกลืน เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจ ตนยังวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกนำตัวไปปรับทัศนคตินับไม่ถ้วน และก็เป็นแกนนำคนเดียว ที่ถูกถอนประกัน อยู่ในเรือนจำติดเชื้อในกระแสเลือดปางตาย ออกจากคุกจะมีการตัดสิน คดีจำนำข้าว ก็เอาตนเข้าคุกด้วยคำตัดสิน ของศาลฎีกาทั้งที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง เมื่อออกคุกมาก็ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ในนานไทย ไม่ทนก็ถูกขังคุกอีกในคดีเดิมที่ปล่อยตัวมาแล้ว ทั้งเดือนหน้า (ก.พ.) ตนก็จะถูกคดีฟ้องยึดบ้าน แล้วก็ล่าสุดจะถูกฟ้อง เพิ่มเติมอีกคดีจากเหตุการณ์เมื่อ 14 ปีที่แล้ว

“หาก 8 ปีนี้ ผมเอาเพียงแค่ที่ท่าน (ทักษิณ) หักหลังผม ไปแสวงหาผลประโยชน์ กับรัฐบาล คสช. ผมก็ไม่ต้องติดคุก ผมก็ไม่ต้องลำบาก ผมก็ไม่ต้องมีคดีมากมาย เนื่องจากว่าพวกเรายืนหลักในความถูกต้องตลอดเวลา อีกทั้งฝ่ายเดียวกันไปทำผิดพลาด ผมก็กล้ำกลืน ถ้าเกิดผมคิดประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ผมจะอยู่แบบนี้หรือ?”

อีกอย่าง การต่อสู้ของเราเป็นมาตลอด นั่งจัดรายการต่าง ๆ เพื่อต้องการหยุดอำนาจ 3 ป. ออกไปชุมนุมในนามคณะหลอมรวม ประชาชนก็เพื่อหยุดอำนาจ 3 ป. เพื่อหาทางออกให้ประเทศไทย แล้วมีเรื่องอะไร ไปสกัดแลนด์สไลด์ของทักษิณ

พร้อมกล่าวว่า ท่านรู้หมดว่า ใครคุยอะไรกับใครที่อยู่เมืองไทย คนไปคุยกับท่านที่เมืองนอก ตนก็ทราบหมดเช่นกัน ในประเทศไทยดุกันเกือบตาย ในช่วงทำสงคราม อะไรก็ใช้ไม่ได้ ไอ้นี่พวกนี้ ไอ้นั่นพวกนั้น ลงคะแนนเสียงเสร็จไอ้พวกนี่แล้วก็คนพวกนั้นไปหาท่าน แวดล้อมไปหมด มันตำตาตนทั้งหมด

“ผมอยากจะบอกนายกฯทักษิณ ที่ท่านบอกถูกเห่า ผมจะบอกท่านว่า ถ้าหากผมหมา ท่านก็คือหัวหน้าหมา แล้วพวกเราพูด ภาษาหมากันมานานแล้ว หมามันมีคุณสมบัติข้อหนึ่ง (นิ้วเคาะโต๊ะเสียงดัง) คือเรื่องความสัตย์ซื่อ ท่านยังเป็นหมาไม่ได้เลย หรือเป็นหมาที่ใช้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น คือความซือสัตย์ระหว่างกัน ด้วยเหตุว่าแลกเปลี่ยนชีวิตแล้วก็ตายได้ตลอดเวลา ถ้าเกิดมองเห็นแก่ตัวก็ต้องหนีตามท่านสิ ประเพณีนี้เมื่อหัวหน้าหนีก็จะดี เมื่อผมไม่หนีก็เป็นตัวแปลกอยู่แล้ว”

ผมกับนายกฯทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกัน

นายจตุพร กล่าวว่า ที่ไม่หนีเพราะต้องการทวงความยุติธรรม

ให้ประชาชนที่ตาย และเดินทางทักทายแลกชีวิตมาตลอด แต่หลายคนที่ถูกท่านประณาม ดูถูก ในไทยก็ไปเจอท่านที่ต่างประเทศ ด้วยเหตุนั้น เหตุที่ไม่ตอบ ทักษิณก็อธิบายได้ อย่าอ้างเรื่องกฎหมายหมิ่นประมาท แต่มีข้อเท็จจริงมันปรากฎด้วยคำบอกเล่ามาแล้ว ทั้งเรื่องเสียงปืนนัดแรกดังจะกลับมา แต่เสียงปืนผ่านไปสองแสนนัด ประชาชนตายเป็นร้อยศพท่านก็ไม่กลับมา

นอกจากนั้น ทักษิณยังพูดถึงพายเรือไปส่ง เสื้อแดงไม่ต้องตามมา เพราะเหตุว่าการพูดแบบนี้เป็นการแลกกับเงื่อนไข จะได้กลับบ้าน เพราะเหตุว่าท่านคุยกับตนเองจำได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทุกอย่างท่านยอมแลกได้ตลอดเวลา และทราบดีว่าท่านทำอะไรได้บ้าง อีกอย่างก็รู้ดีว่า ตนไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยดีนักหรอก

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมาด้อยค่าตน เย้ยดูแคลนเป็นคนหักหลัง หักหลัง ทั้งที่ทักษิณเป็นคนหักในการต่อสู้ตลอดเวลา หากแม้ท่านรับปาก ประกาศให้ได้ยินกันทั่วไป แต่คนที่รักกันอย่างหน้ามืดตามัวก็พูดว่า ทักษิณบอกผิดสักกี่ครั้งก็ได้ ราวกับบอกกลับบ้านปี 2565 ไม่ได้กลับก็บอกเป็นเรื่องระบบฟอกโลหิต ท่านก็ไปของท่านอีก

“ท่านหลีกหลีกเลี่ยงตอบว่า จะประสานมือกับพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่ ก็มากล่าวในประเด็นว่า เรื่องจะกลับประเทศไทยจะไม่ออกกฎหมาย จะไม่เกี๊ยะซียะ (รอมชอม) กับพลังประชารัฐ และไม่ใช้ พรรคเพื่อไทยด้วย ผมต้องเรียกไปยังนายกฯ ทักษิณว่า ผมได้ยินมาอยู่แล้ว นับเป็นเวลาหลายวันที่ผ่านมาคงจำกันได้ ผมว่ามันมีดีล (ข้อตกลงลับ) หนึ่ง ซึ่งเป็นดีลที่ไม่สมควร แล้วก็ไม่เหมาะสมจะดีล รวมทั้งไม่มีวันจะเป็นไปได้อีก และนี่หนักกว่าสุดซอย เพราะเหตุว่าหนึ่งเป็นเรื่องไม่ควร สองยิ่งกว่าการลักหลับ และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่ผมขอไม่อนุญาตอธิบายความ”

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้ทักษิณ ต้องคดีถึงที่สุดแล้ว แต่คดีหลังไม่มีอายุความ มีคำตัดสินรวมโทษประมาณ 12 ปี เพราะฉะนั้น ในทางกฎหมาย เมื่อทักษิณกลับไทยต้องถูกจับส่งศาล แล้วเข้าคุก แต่มีข้อเท็จจริงบ้างประการว่า มีดีลพิเศษ แต่ไม่มีวันเป็นไปได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่ควร และก็ตอนสุดซอยที่ใช้ลักหลับแต่ครั้งนี้จะลักหลับของจริง ที่อธิบายเรื่องนี้ เนื่องจากว่าตนพยายามหลีกหลีกเลี่ยงถ้อยคำภาษา

ยิ่งกว่านั้น ดีลพิเศษนี้ ความเป็นจริงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องแลนด์ สไลด์ของพรรคเพื่อไทย หลายคนพยายามตั้งคำถามว่า จู่ๆมาพูดเรื่องนี้ไปรับงานใครมา ทั้งยังที่สุดทนมาตั้งแต่ถูกหลอกใช้ให้ไปหาเสียงช่วยพรรคเพื่อชาติเมื่อปี 2562 ส่วน นปช.อีกกลุ่มก็แยกไปช่วยพรรคไทยรักษาชาติ แล้วมาล่าสุดการออกหาเสียงช่วย นายก อบจ เชียงใหม่ ก็ขาดสะบั้น ใจสลายเลย

“เราอยู่ท่ามกลางความปวดอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มาดูแคลน ผมก่อน โดยดูแคลนว่า ไปรับงานใครมา แล้วผมก็ตอบกลับด้วยตรรกะเดียวกับทักษิณไปกล่าวที่ฮองกงนั้นว่า ท่านไปรับงานใครมาที่มาดูแคลนผม แต่ท่านไม่เข้าใจว่า มนุษย์ยอมตาย แลกชีวิตกันได้มันมีเรื่องศักดิ์ศรีของมันอยู่ ดูถูกดูหมิ่นหลายครั้งกระทั่งได้ใจ ไม่นึกว่าสักวันหนึ่งมันจะทนไม่ได้เอานะ

“เมื่อมาเหยียบอีก บ้วนน้ำลายใส่ ก็สุดทนเลย ทั้งที่ถูกดูถูกดูหมิ่น ทำอยุติธรรมกับผมมานานแล้ว แล้วก็ที่สำคัญที่สุดไม่ยุติธรรมกับประชาชนมานานแล้ว แล้วก็ใครมันจะทนได้ หักหลังกันตลอดทางมา 30 ปีตั้งแต่คบกัน”

ประเทศไทย

นายจตุพร ย้ำว่า วันนี้ไม่ได้รับงานใครมา

ถ้าทักษิณไม่พูดถึงตนก่อนในลักษณะที่ดูแคลุกลี้ลุกลน เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น เมื่ออกมากล่าว แต่ไม่ตอบโต้ กลับใช้วิธีกระแนะกระแหน อธิบายแออัดยัดเยียดว่า รับงานใครมา แล้วตนจะติดคุกหรึอ? เข้า ๆ ออก ๆ คุกมีคดีความมากมายกว่าแกนนำทุกคน

นายนิติธร กล่าวว่า เข้าใจรู้สึกและก็รู้ถึงเรื่องราว จึงเข้าใจมากขึ้นว่า เพราะอะไรเพื่อไทย-ทักษิณ ไม่ออกมาตอบโต้ เป็นเพราะเหตุว่ากล้วความจริงจะหลั่งไหล ออกมามากมาย โดยเหตุนี้ ทักษิณก็เลยต้องเบียงเบนไปทางเยาะหยามเท่านั้น

พร้อมกับกล่าวว่า ที่ฟังมานั้น การที่นายจตุพร ไม่หนีคดีจึงก่อปัญหา กับตนเอง เพราะทักษิณหนี คดีจึงต้องการให้ทุกคนหนีหมด ไม่ต้องการให้ใครมายึดโยงประชาชน รวมทั้งไม่ต้องการให้ทราบในสิ่งที่เขาทำกับประชาชน

“พอไม่หนีคดี แล้วไปอ้างต้องดูแลประชาชน มันจึงทำให้ความรู้สึกประชาชนต้อง แบกน้ำหนัก แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นคู่แค้นและเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก แล้วก็หนักใจกับคดีชุมนุม”

อัจฉริยะ ดีเอสไอตบทรัพย์

"อัจฉริยะ" แฉหลักฐานเพิ่มอ้าง ดีเอสไอตบทรัพย์

“อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” เปิดเผยวงจรปิด ขณะที่เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ เข้าค้นห้องพักคอนโดหรู ของอดีตกงสุล ใหญ่ประเทศนาอูรู ย่านห้วยขวาง เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2565 ที่ผ่านมา อ้างเป็นการ ตบทรัพย์ ตลอดจากพื้นที่ทุ่งมหาเมฆ

วันนี้ (23 ม.ค.2566) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือ เหยื่ออาชญากรรม เปิดเปิดเผยภาพวงจรปิด ของคอนโดแห่งหนึ่ง ย่านห้วยขวาง บันทึกภาพ ขณะมีชาย 3 คน กล่าวถึงว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นถึงระดับผู้อำนวยการ

ได้ไปแสดงตัว ต่อนิติบุคคลของคอนโด พร้อมอ้างว่า มาสืบคดีพิเศษ เพื่อขอเข้าตรวจค้นห้องพักที่คาดว่าเป็นห้องของอดีตกงสุลใหญ่ ประเทศนาอูรู โดยไม่แสดงหมายค้น หรือ หมายจับ

ภาพที่เอามาจากกล้องวงจรปิดบันทึก เวลาได้ขณะเข้าไปตรวจค้น เวลา 17.54 น. โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วก็กลับออกมา พร้อมด้วยทรัพย์สินอะไรบางอย่าง ซึ่งนายอัจฉริยะ เปิดเปิดเผยว่า การเข้าตรวจหาคราวนี้ เป็นการตบทรัพย์ ต่อเนื่องมาจากพื้นที่ทุ่งมหาเมฆ

นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังอ้างว่า พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กลุ่มนี้ทำเป็นขบวนการ ก่อเหตุหลายที รวมทั้งเกี่ยวข้อง กับการปล้นบ้านชาวจีนที่ ต.หนองปรือ จ.ชลบุรี และก็มีพฤติกรรม เรียกรับสินบนจาก ธุรกิจบ่อทราย น้ำมันเถื่อน และของเถื่อน เพื่อส่งเงินให้กับ ผู้บริหารระดับค่อนข้างสูงของดีเอสไอ ซึ่งตนอยากให้มีการเข้าไปตรวจดูห้องทำงาน ของผู้บริหารของดีเอสไอด้วย

สำหรับหลักฐาน วงจรปิดดังกล่าว นายอัจฉริยะ เคยไปร้องไว้ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ในความผิด ด้วยกันลักทรัพย์ ในเวลากลางคืน และก็ ด้วยกันบุกรุก ซึ่งจะต้องประสาน ให้ตำรวจ สถานีตำรวจทุ่มหาเมฆ ส่งข้อมูลให้ ตำรวจ สน.ห้วยขวางในการดำเนินคดีถัดไป

ดีเอสไอ

 

สั่งพักราชการ 5 ดีเอสไอ ตบทรัพย์ ชาวจีนปลอมพาสปอร์ต ขณะค้นบ้านพัก กงสุลใหญ่นาอูรู

โฆษกดีเอสไอ เปิดเผย คำสั่ง พักราชการ 5 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ชุดปฏิบัติการร่วมคดี ค้นบ้านพักกงสุล ใหญ่นาอูรู ถูกกล่าวหา ตบทรัพย์แลก ปล่อยตัวแก๊งจีนเลียนแบบพาสปอร์ต ขณะรอง ปลัดกระทรวงยุติธรรม แจง เหตุผลย้าย ‘ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์’ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริง เนื่องจากว่ามีข่าว เจาะจงพบคนใกล้ชิด เกี่ยวข้อง

นางพิชญา ธารากรสันติ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (โฆษกดีเอสไอ) ได้เปิดเปิดเผยว่า ตามปรากฏข้อความจริงที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยได้นำหลักฐาน การตรวจหาจับกุมตัวของเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

มีการยักยอกเงินของกลาง รวมทั้งเรียกรับ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว ชาวจีน 11 คนที่จับได้ในบ้าน จนเป็นเหตุให้มีการออก หมายจับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวน คดีพิเศษ 5 นาย เจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกจำนวนหนึ่ง ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอม จะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตัวเองหรือคนอื่นโดยมิชอบ, เป็นเจ้าหน้าที่ด้วยกันปฏิบัติหน้าที่ หรือยกเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ,เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่นมิให้ต้องได้รับโทษ หรือให้ต้องโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด เป็นกรณีมีมูลว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง โดยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย แล้ว

ดีเอสไอ ตบทรัพย์

 

เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)

ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 57 (10) มาตรา 101,กฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 ข้อ 78 และก็ข้อ 81 โดยกรณีดังกล่าวเป็นเรื่อง เกี่ยวกับพฤติการณ์ อันไม่น่าไว้วางใจ ถ้าหากให้อยู่ในหน้าที่ ราชการถัดไปจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา แล้วก็อาจเกิดการเสียหายแก่ราชการ จึงเห็นควรพักราชการเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 นายไว้ก่อน

ส่วนคำสั่ง ของนายสมศักดื์ เทพสุทิน เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ให้ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และรักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสถา บันนิติวิทยาศาสตร์ แล้วให้ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วก็ให้รักษา ราชการแทนอธิบดีดีเอสไอนั้น

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเปิดเผยระหว่างการแถลงข่าว ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ (20 ม.ค. 66) ว่า เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นมีการขยายผล ได้มีการให้ข่าวว่า จากพฤติการณ์กรณีดังกล่าวนั้น มีบุคคลใกล้ชิดกับท่านอธิบดี ท่านไตรยฤทธิ์ เข้าไปเกี่ยวข้องในเชิงประสานงาน ที่ตรงนี้เองเพราะ ข้อสังการของท่านนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้เกิดความโปร่งใสที่สุด ซึ่งเพื่อบรรยากาศแวดล้อม

ในการตรวจดูข้อเรื่องจริง ลดข้อกังวลเรื่องการให้ข้อมูล เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ดังกล่าว 2 ท่านที่ย้ายสลับกัน ทั้งสองท่านมีประสบการณ์ ในกรมที่พึ่งย้ายไป ดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว อยู่ในกลุ่มภารกิจเดียวกัน

“ช่วงนี้ต้องให้โอกาสท่าน สุริยา ที่ได้รับมอบหมาย จากรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทินเข้าไป อาจใช้คำว่าเข้าไปปัดกวาดบ้านของพวกเราอีกทีหนึ่ง แต่ต้องกราบเรียนว่าทั้งสองท่าน ไม่ได้มีความผิดอะไรเป็นเรื่องที่มีการย้ายเพื่อความเหมาะสม” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าว

ชูวิทย์เปิดเอกสารลับ ดีเอสไอ

ชูวิทย์ เปิดเอกสารลับ ดีเอสไอ ใครเป็นผู้ริเริ่มเรื่องฉาว บ้านกงสุลนาอูรู ปลอม

ชูวิทย์เปิดเอกสารลับ ดีเอสไอ กับ ตำรวจ ใครเป็นผู้ริเริ่มเรื่องฉาว บ้านกงสุลนาอูรูปลอม ที่สาทร

วันที่ 19 มกราคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองโด่งดัง โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเอกสารลับ ดีเอสไอ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ผู้คนสงสัย ว่างานนี้เริ่มจากไหน? ระหว่างดีเอสไอ กับตำรวจ ใครเป็นผู้เริ่มเรื่องฉาว ที่บ้านกงสุลนาอูรูปลอม ที่สาทร เพราะเหตุว่ากลายเป็นเรื่องแผลงฤทธิ์ของจีนเทา
ตบท้ายมีการ อมเงินของกลาง และปล่อยตัวจีนเทาไป โดยมีเงินตกหล่นไปเกือบจะ 10 ล้าน ผมได้นำคลิปเปิดเปิดเผย ให้มองเห็นเหมือนหนึ่งนั่งอยู่ในเหตุการณ์

หลังจากนั้นมีการโยน กันไปมา ระหว่างดีเอสไอ กับตำรวจ เอกสารที่โพสต์เป็น “รายงานลับ ที่หัวหน้าชุดดีเอสไอ ได้รายงานถึงอธิบดี” เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง การตรวจหา ว่าเงินของกลาง ที่หายไป ตอนยึดไม่ได้ถือว่ามีเท่าไหร่ เอาใส่ถุงแล้วนำส่ง สน.ทุ่งมหาเฆม เลย

(โยนความผิดไปให้ตำรวจ 191 ด้วยเหตุว่าดีเอสไอไม่ได้ขอหมายค้น แต่เป็นตำรวจที่ขอหมายค้น ดีเอสไอยังไม่ได้ลงรับ เป็นคดีความพิเศษ จึงไม่มีหน้าที่โดยตรง ไม่ได้เป็นคนตรวจนับ แล้วก็เซ็นเอกสารการนับเงิน)

เปิดเอกสารลับ ดีเอสไอ

กรณีการขอหมายค้นเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ แจกแจงว่า

ถ้าเกิดรอรับเป็นคดีความพิเศษ จะไม่ทันการณ์ ผู้ต้องหาจะหนี จึงได้ประสานตำรวจ 191 เป็นการเร่งด่วน เพื่อให้ขอหมายค้น บ้านดังกล่าว (แสดงว่าเรื่องเริ่มจากดีเอสไอก่อน และแทนที่กลัวผู้ต้องหาจะหลบหนี แต่กลับปล่อยหนีไปหมดเสียเอง) ท่านอธิบดีดีเอสไอ คงดีใจที่ถูกเด้ง เพราะว่าหน่วยงานดีเอสไอ ในระยะหลังมีแต่ข่าวฉาวมาเป็นระยะๆ

คงเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ มาจากร้อยพ่อพันแม่ ต่างคนต่างมา จึงไม่มีใครคุมใครได้ รวมทั้งแต่ละเรื่อง วงเงินไม่ใช่น้อย แบบเดียวกับ ปปง. ท่านอธิบดีก็เลย ถูกเด้งเซ่นเรื่องจีนเทาไปอีกคนส่งท้าย

อสส.สั่งฟ้อง ตู้ห่าวกับพวก ทุนจีนสีเทารวม 41 คน ข้อหาค้ายา-ฟอกเงิน-อั้งยี่ฯ

“นารี” อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง ตู้ห่าว กับพวกทุนจีนสีเทารวม 41 ราย นำคำฟ้อง 332 หน้ายื่นต่อศาลอาญา กรุงเทพใต้ หลายข้อหาหนัก ค้ายา-ฟอกเงิน-อั้งยี่-อาชญากรรมข้ามชาติโทษ สูงสุดประหารชีวิต

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นักข่าวแถลงการณ์ว่า ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดี นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว กับพวก
จากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 66 แล้วก็ อัยการสูงสุดได้พิจารณา สำนวนการสอบสวนคดี ดังกล่าวแล้ว นั้น

เปิดเอกสารลับ

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 66 น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด

ก็เลยได้มีคำสั่งฟ้อง นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว กับพวก รวม 41 ราย ในความผิดฐานสมคบ
โดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดรุนแรงเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 วัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และก็ประเภท 4 โดยกระทำการในลักษณะ
เป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม, ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชน
รวมทั้ง โดยมีอาวุธปืนทำให้เกิดผลกระทบ ต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่าย วัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 แล้วก็ประเภท 4
โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนแล้วก็โดยมีอาวุธปืนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชน,
สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และด้วยกันฟอกเงิน, เป็นอั้งยี่ มีส่วนร่วมในองค์กร อาชญากรรมข้ามชาติ
โดยเป็นสมาชิกหรือโครงข่ายดำเนินการ ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสมคบกันตั้งแต่สองคน ขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรง
เกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันมีอาวุธปืนและก็เครื่องกระสุนปืนเอาไว้ภายในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับเอกสารสิทธิ์,
ด้วยกันรับคนต่างด้าวทำงานโดย คนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตให้ทำงาน โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ด้วยกันให้เข้าพักอาศัย ปิดบัง
หรือช่วยด้วยประการใดๆก็ตามให้คนต่างด้าวที่เข้าเมือง โดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับ

และในวันนี้ (19 มกราคม 2566) เวลา 15.00 น. อัยการสูงสุดได้มอบหมาย ให้สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด นำคำฟ้อง จำนวน 332 หน้า ไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้
และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี มาส่งฟ้องต่อศาลภายในอายุความตามกฎหมายต่อไป

ดีเอสไอ ตู้ห่าว

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด

เปิดเผยว่า น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องคดี นายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2566 ฟ้องนายตู้ห่าวกับพวกรวม 41 ราย ส่งสำนวนให้อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด นายจรูญ ธีรนานนท์ รวมทั้งในวันที่ 19 ม.ค.วันนี้สำนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด4 ได้นำคำฟ้องไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลข ย 87 / 2566 เชลย 23 ราย ส่วนที่เหลือดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้ได้ตัวมาฟ้องร้องถัดไป

รองโฆษก สำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวเหตุว่า โดยมีคำฟ้องรวม 332 หน้าเอกสารท้ายฟ้องอีก 35 แผ่น รวมทั้งอัยการสูงสุดได้มีคำสั่ง ที่ 86/66 ตั้งคณะทำงานในการดำเนินคดีต่อไปด้วย
ซึ่งคดีนี้ อัยการสูงสุดได้ลงมาช่วยคณะทำงานทำงานทุกวัน ถึงแม้ในวันเสาร์-วันอาทิตย์ โดยไม่มีวันหยุดแล้วท่านยังติดตามความคืบหน้าในทุกระยะ รวมทั้งดูแลการบริหารงานคดีให้เป็นไปตามกำหนดเวลา
ตามกฎหมายได้ทัน สำหรับข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดนั้นมีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตและมีอายุความ 30 ปี.

เรือน้ำมันระเบิด

ส่งทีมใต้น้ำค้นหา ผู้สูญหายเหตุ เรือน้ำมันระเบิด จ.สมุทรสงคราม

กู้ภัยมูลนิธิ สว่างเบญจธรรม ส่งทีมใต้น้ำ เริ่มค้นหา ผู้หายสาบสูญอีก 6 คน เรือน้ำมันระเบิด อย่างตลอด แม้ในเวลากลางคืน ที่ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ ชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมใหญ่ จังหวัดสมุทรสงคราม ยังคงมีการค้นหาผู้หายสาบสูญ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่าย ทั้งบนเรือแล้วก็ในแม่น้ำแม่กลอง

เมื่อคืนที่ผ่านมา มีการยืนยันจาก ชลธี เลาหกรรณวณิช หัวหน้าชุดปฏิบัติการ กู้ภัยมูลนิธิสว่างเบญจธรรม ว่ามีผู้หายสาบสูญ 6 คน โดยมีการแจ้งเพิ่ม หนึ่งคนจากญาติ ที่มาแจ้งติดตามหาคนหายภายหลัง

ตั้งแต่ 17.00 น. ชุดปฏิบัติการ กู้ภัยมูลนิธิสว่างเบญจธรรม ได้เริ่มส่งชุดค้นหาใต้น้ำชุดแรกลงไปในแม่น้ำแม่กลอง จากนั้นจะมีชุดสลับสับเปลี่ยน โดยการค้นหาจะดำเนินไปจนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง จากนั้นจะมีการ ประเมินสถานการณ์ อีกครั้งว่าจะค้นหาต่อหรือหยุดพัก

สำหรับรัศมีการค้นหาจะอยู่ที่ 100 เมตรรอบตัวเรือ โดยระดับน้ำลึกประมาณ 7-8 เมตร

ไปติดตามความคืบหน้าล่าสุด จากปฏิบัติการค้นหา ผู้สูญหายกรณีเรือน้ำมันระเบิด ซึ่งมีการค้นหากัน เกือบอีกทั้งคืน จาก คุณหนึ่ง พลเศรษฐ์ หัวหน้าชุดปฏิบัติการกู้ภัยมูลนิธิสว่างเบญจธรรม

เรือบรรทุกน้ำมันระเบิด พื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม สั่นสะเทือนไกลหลายกิโลฯ

เกิดเหตุ “เรือน้ำมันขนาดใหญ่” ระเบิด ไฟลุกท่วมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม กระเทือนไกลหลายกิโลเมตร

วันที่ 17 มกราคม 2566 ปภ.สมุทรสงคราม รายงานเหตุด่วน เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น. เกิดเหตุ “เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่” ระเบิด เสียงดังสนั่น

จนถึงมีเพลิงไหม้ควันดำโขมง พิจารณาได้จากระยะไกล ขณะจอดซ่อมแซมอยู่ในพื้นที่ อบต.แหลมใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม แรงระเบิด ส่งผลให้อาคารบ้านเรือน ใกล้เคียงได้รับความเสียหาย ชาวบ้านในพื้นที่ เผย

แรงระเบิดรัศมี กระเทือนไม่ต่ำกว่า 7 กม. ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุ ถ้าเกิดมีความคืบหน้า จะได้รายงานให้ทราบถัดไป

โดยเหตุระเบิดเรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อ SMOOTH SEA 22 เกิดขึ้นภายใน อู่ซ่อมเรือ บริษัท รวมมิตรด็อคยาร์ด จำกัด ต.แหลมใหญ่ อ.เมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับสิบราย รวมทั้งยังคงมีผู้หายสาบสูญจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ระบุว่า SMOOTH SEA 22 เริ่มใบอนุมัติใช้เรือ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 และหมดอายุเอกสารสิทธิ์ใช้เรือ วันที่ 30 เดือนพฤษภาคม 2566 โดยกำหนดประเภท การใช้บรรทุกผลิตภัณฑ์น้ำมัน ที่มีจุดวาบ ไฟต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส ประเภทเรือกลเดินสมุทรเฉพาะเขต เขตการเดินเรือ ลำน้ำแล้วก็ทะเลระหว่างจังหวัดตราดกับจังหวัดนราธิวาส

เรือน้ำมันระเบิด สมุทรสงคราม

เจ้าท่าฯ ตั้ง กรรมการสอบ เรือน้ำมันระเบิด สรุปใน 10 วัน ล่าสุดเสียชีวิต 3 ราย

กรมเจ้าท่า ตั้งกรรมการสอบเรือน้ำมันระเบิด สรุปใน 10 วัน ตั้งประเด็นอู่ซ่อมเรือบรรทุก วัตถุอันตรายทำตามขั้นตอนหรือไม่ เจอเรือมีน้ำมันเตา 30,000 ลิตร น้ำมันดีเซล 2,500 ลิตร ล่าสุดเสียชีวิตเป็น 3 ราย ยืนยันเยียวยา ตามกฎหมาย

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดี กรมเจ้าท่า (กรมเจ้าท่า) เปิดเผยว่า ความคืบหน้า กรณีเหตุเรือน้ำมันสมุธซี 22 ระเบิด ขณะจอดซ่อม อยู่ภายในอู่แห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.8 ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 17 มกราคม 2566 ซึ่งล่าสุด สามารถควบคุมไฟได้ 100% แล้ว ขณะที่มีคนตายเพิ่มเป็น 3 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บจำนวน 1 ราย

ทั้งนี้ จากการสำรวจเรือบริษัท รวมมิตรด็อคยาร์ด จำกัด ทะเบียนเลขที่ 61132750004 นั้น พบว่าได้รับอนุญาต ดำเนินการเมื่อปี 2561 ซึ่งที่ทำการเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 ออกคำสั่งปิดอู่ที่เกิดเหตุแล้ว

สำหรับเรือน้ำมันสมุธซี 22 ตรวจดูในขณะที่เกิดระเบิด พบว่ามีน้ำมันเตา ค้างประมาณ 30,000 ลิตร รวมทั้งน้ำมันดีเซล สำหรับขับเคลื่อนเรือ ค้างอยู่ประมาณ 2,500 ลิตร โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนขึ้นมารีบหาข้อความจริงทั้งหมด โดยมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม พื้นฐานตั้งประเด็นไต่สวน

อย่างเช่น การดำเนินการของอู่ต่อเรือ เป็นไปตามกระบวนการ รวมทั้งขั้นตอนความปลอดภัย ที่กำหนดใน การรับเรือขนส่งสินค้าอันตราย เข้าซ่อมครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่ รวมถึงมีสาเหตุ ปัจจัยอื่นอีกทั้งข้างนอกแล้วก็ภายในอื่น ๆ เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประเด็น

นอกจากนี้ กรมเจ้าเห็นทีจะต้องนำมาตรการ ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย เกี่ยวกับการอนุญาตอู่สร้างเรือ การกำกับดูแล รวมทั้งเรือบรรทุกสินค้าอันตราย เพื่อทวนว่ายังมีประเด็นใด ที่ยังไม่ครอบคลุมหรือไม่ เพื่อดำเนินการแก้ไข เพิ่มเติมถัดไป

สำหรับเรือ มีการประภัยภัย ได้แก่ การประกันแบบ Hull & Machinery หรือ H&M เจ้าของเรือ (ผู้ปฏิบัติการ, ผู้เช่าเรือ) จ่ายเบี้ยประกัน คุ้มครองถึงวันที่ 26 มีนาคม 2566 วงเงิน 60 ล้านบาท
แล้วก็การเข้าเป็นสมาชิกของ P&I Club (Protection and Indemnity Clubs) หรือ การประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองถึงบุคคลที่สาม เจ้าของเรือ (ผู้ปฏิบัติการเรือ, ผู้เช่าเรือ) เป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน คุ้มครองถึงวันที่ 20 เดือนกุมภาพันธ์ 2566 วงเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

เรือบรรทุกน้ำมัน

ด้าน นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดี กรมเจ้าท่าด้านปลอดภัย

กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งเหตุ ได้เร่งลงพื้นที่ประมาณ 10 โมงเศษ พบว่าไฟยังลุกไหม้อยู่ ซึ่งได้มีการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น เพื่อประเมินสถานการณ์ ในการเข้าดำเนินการผจญเพลิง ที่ถูกต้องและก็ปลอดภัย การเกิดระเบิดครั้งแรกทำให้ไฟลุก มีความร้อน ฉะนั้นจึงมีการระเบิด ตามมาต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความร้อน และก็อาจทำให้เจ้าหน้าที่ ตื่นตระหนก ในการเข้าดำเนินการ และก็เกิดกระแสข่าวลือว่าเรือยังบรรทุกน้ำมันอยู่

ซึ่งจากข้อมูล ยืนยันว่าเรือไม่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำมัน เป็นเรือไม่เพื่อเตรียมการขึ้นอู่ซ่อมแซมใน 1-2 วันข้างหน้า ด้วยเหตุดังกล่าวต้องมีการล้าง ระวางก่อนตามขั้นตอน

ขณะที่เรือลำดังกล่าวต่อขึ้นเมื่อ 4-5 ปีก่อน ถือเป็นเรือใหม่ บรรทุก ผลิตภัณฑ์ที่มีจุดวาบไฟ ต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส บรรทุกผลิตภัณฑ์ประเภท น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันดิบ ซึ่งมีความไวไฟ จึงมีมาตรการ ที่รัดกุมในการนำเรือขึ้นเพื่อซ่อมบำรุง

โดยต้องล้างถัง ไล่แก๊สออกจากระวาง จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีสิ่งที่ทำให้เกิดระเบิดได้ ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อเกิดระเบิดขึ้นดังกล่าว ก็เลยเป็นข้อสงสัยว่าได้ดำเนินการ ตามขั้นตอนครบถ้วนหรือไม่ โดยกรมเจ้าท่าได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาไต่สวนหาข้อความจริงสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยจะสรุปภายใน 10 วัน

ในเวลาเดียวกันนี้ กรมเจ้าท่าจะรีบประเมินความเสียหาย ที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ บ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะนี้เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าอยู่ในพื้นที่เพื่อประสานกับทุกส่วน ทั้งบริษัทเรือ อู่ บริษัทประกัน จังหวัด ในเรื่องการดูแลความเรียบร้อย แล้วก็การทดแทนผู้ได้รับผลกระทบ เบื้องต้นประเมินมูลค่าประกัน จะครอบคลุมในการชดเชย ความเสียหายผู้ได้รับผลกระทบ

ชาร์จมือถือ

เช็ค 8 จุด "ชาร์จมือถือ" เสี่ยง โดนแฮก ดูดเงินในบัญชี พร้อมวิธีแก้

กลโกงของมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต่างปรับรูปแบบใหม่ในการเข้าถึงข้อมูลของเหยื่อ โดยล่าสุด มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือรายหนึ่ง ตกเป็นเหยื่อ เพราะว่าเพียง ชาร์จมือถือ วางทิ้งไว้ แต่จู่ๆเครื่องดับ เมื่อเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาอีกที กลับมีข้อความจากแอปธนาคารแจ้งว่า มีเงินออกไปจำนวนกว่า 1 แสนบาท ทั้งที่ไม่มีการโทรเข้า-โทรออก และ ไม่มีใครส่งลิงก์ให้ยืนยันข้อมูล

ผู้เสียหาย เล่าว่า ปกติเค้ามีโทรศัพท์ 2 เครื่อง คือ เครื่องแอนดรอย ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้เล่นเกมส์อย่างเดียว ส่วนเครื่องหลัก คือ ไอโฟน ซึ่งเป็นเครื่องที่ชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้ แล้วโดนแฮก กระทั่งดูดเงินหาย

ณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ชำนาญการ ให้ข้อมูลว่า จากที่ดูจากคลิป มีส่วนที่โดนแอปรีโมทเข้ามาที่เครื่อง ทำให้หน้าจอค้าง เพื่อให้เหยื่อใช้งานไม่ได้ ในขณะที่หลังบ้านของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กำลังดูดข้อมูลจากเครื่องของเหยื่อ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะควบคุม เพราะส่วนมากผู้เสียหายจะไม่รู้ตัว แต่มีคำแนะนำ ถ้าพบว่าเครื่องหน่วงผิดปกติ อย่าพึ่งใช้แอปธนาคาร เพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน

2 กลโกงมิจฉาชีพ

2 กลโกงมิจฉาชีพ แฮกข้อมูล

ขณะที่เพจ Drama-Addict เตือน 2 จุดเสี่ยง ถูกแฮกข้อมูลในขณะนี้ คือ สายชาร์จมือถือ ไอโฟน ที่ทีมแฮคเกอร์ดัดแปลงข้างใน ให้สามารถดูดข้อมูลจากเครื่องเหยื่อได้ สมมุตว่า มีคนใช้สายนี้เสียบชาร์จ ก็จะสามารถดูดข้อมูลในเครื่องนั้นได้ โดยตัวสายมันจะมีอุปกรณ์ในการดักจับข้อมูล

ถ้าเกิดเหยื่อพิมพ์ข้อมูล รหัสผ่าน อะไรพวกนี้ มันก็จะถูกส่งข้อมูลผ่านระบบไร้สาย ไปเข้าคอมพิวเตอร์ของมิจฉาชีพได้ ซึ่งในปัจจุบันมีรุ่นใหม่ๆออกมาขายหลายชนิด มีแบบ usb-c ด้วย และวิธีการก็แนบเนียนขึ้น ดังนั้น ฝากพ่อแม่พี่น้อง ตอนนี้มิจฉาชีพมาทุกรูปแบบ และสายชาร์จของมิจฉาชีพ ก็มีขายทั่วๆไปในท้องตลาด หน้าตาภายนอกแยกจากสายชาร์จไม่ออก เพราะฉะนั้น เวลาจะชาร์จมือถือ ใช้สายใครสายมัน อย่ายืมสายคนแปลกหน้ามาใช้

อีกวิธีที่ คือ wifi ปลอม วิธีการแบบนี้ มิจฉาชีพจะไปตั้งจุด hotspot wifi ให้ชื่อคล้ายๆกับพวก wifi สาธารณะที่ให้ใช้ฟรี และต่อเน็ทได้ แต่ถ้าหากพวกเราหลงเชื่อไปใช้งาน wifi ปลอมพวกนี้ แล้วกรอกรหัสอะไรไป ข้อมูลก็จะถูกดักไว้โดยมิจฉาชีพ ถูกลักขโมยข้อมูลแบบไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ดังนั้น ถ้าจะใช้งาน wifi สาธารณะ เช็คกันดีๆว่า เป็นของจริงหรือของปลอม พลาดไปก็หมดเนื้อหมดตัวได้เลย

กลโกงของมิจฉาชีพ

8 สถานที่ต้องระวังการ ชาร์จโทรศัพท์มือถือ

1. จุดชาร์จที่สนามบิน หรือบนเครื่องบิน
ไม่ควรนำเพียงแค่สาย USB มาเสียบที่พอร์ต USB ชาร์จมือถือ เพราะเหตุว่าโดนล้วงข้อมูลได้ง่าย เพื่อความปลอดภัยควรนำ Adapter ของมือถือมาด้วย และเสียบผ่าน Adapter มือถือเข้ากับสาย USB มือถือก่อนชาร์จ เพื่อทำให้มั่นใจว่าใช้สำหรับชาร์จเท่านั้น ไม่โหลดข้อมูลมือถือ

2. รถไฟ
มีพอร์ตแบบ USB ให้บริการชาร์จ แต่เสียบแล้วมีโอกาสข้อมูลรั่วไหลเช่นกัน และไม่มีปลั๊กไฟฟ้าทั่วๆไปสำหรับใช้ Adapter ให้เสียบด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เตรียมแบตเตอรี่สำรอง หรือ พาวเวอร์แบงค์ ส่วนตัวในการชาร์จไฟด้วย

3. โรงแรม
มีพอร์ต USB ในการชาร์แบตเตอรี่ และมีรูปลั๊กไฟให้บริการ แต่แนะนำเสียบกับรูปลั๊กไฟปลอดภัยกว่า

4. รถเช่า
หลายคนท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด และใช้บริการรถเช่า ก็ไม่ควรนำมือถือมาชาร์จกับรถเช่า เพราะว่ามีโอกาสถูกขโมยข้อมูลได้เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำมือถือมาเสียบกับ USB เพื่อฟังเพลงจากรายชื่อเพลงในมือถือ เสี่ยงถูกลักขโมยข้อมูลได้ หรือจะชาร์จด้วย adapter ชาร์แบตเตอรี่มือถือของรถยนต์ จะปลอดภัยกว่า

กลโกงของมิจฉาชีพ แฮกข้อมูล

5. จุดชาร์จตามสถานที่ท่องเที่ยว
นอกเหนือจากอันตรายต่อข้อมูลในมือถือแล้ว อาจเป็นอันตรายต่อตัวคุณด้วย ถ้าหากมีมิจฉาชีพมาเข้าใกล้เพื่อขโมยมือถือ ซึ่งรู้ได้ถ้าเกิดคุณชาร์จมือถือ ณ จุดบริการชาร์จไฟฟรี

6. จุดชาร์จไฟตามห้ามสรรพสินค้า
ถ้าคุณชาร์จด้วยสายชาร์จ USB เสียบกับพอร์ต USB ก็มีโอกาสที่จะถูกลักขโมยรายชื่อผู้ติดต่อของคุณ, อีเมล ข้อความ,เสียงรูปภาพและวิดีโอ ที่อยู่ในมือถือได้ โดยเป้าหมายของแฮกเกอร์คือ ข้อมูลการเงิน หรือรหัสของแอปธนาคารออนไลน์

7. ห้องสมุด
อาจดูราวกับเป็นพื้นปลอดภัย แต่ควรหลีกหลีกเลี่ยงการเสียบอุปกรณ์มือถือ เข้ากับพอร์ต USB เพราะว่าหากเสียบพอร์ต USB มีความเสี่ยงที่จะเกิดการถูกถ่ายโอนข้อมูลได้เหมือนกัน

8. ร้านกาแฟ
เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่อาจจะมีความเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลเช่นกัน ควรจะระวังการชาร์จผ่านพอร์ต USB เพื่อความปลอดภัยก็ควรจะนำ Adapter ติดตัวไปด้วย สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือจะเป็นการดีที่สุด

ทั้งนี้ มีคำแนะนำว่า ถ้าหากไม่มี Adapter ชาร์แบตเตอรี่ ในการชาร์จสมาร์ทโฟน และต้องต้องเสียบสาย USB เพื่อชาร์แบตเตอรี่ในสถานที่เสี่ยง เพื่อความปลอดภัย ให้ปิดเครื่องมือถือให้สนิท ก่อนเสียบสาย USB จะเป็นการชาร์จผ่านกระแสไฟฟ้า โดยไม่มีการโหลดข้อมูลในมือถือ

ชาร์จมือถือ แฮกข้อมูล
ตร.สอบสวนกลางเตือนภัย! เสียบ ชาร์จมือถือ ไม่ระวัง เสี่ยงถูกแฮกข้อมูล

เพจตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โพสต์แจ้งเตือนภัยเสียบสายชาร์จไม่ระวัง เสี่ยงถูกแฮกข้อมูลไม่รู้ตัวระบุว่า ในปัจจุบันพบว่ามีสายชาร์จที่ฝังตัวส่งสัญญาณไร้สาย Access Point ที่เมื่อเราเสียบสายชาร์จเข้ากับอุปกรณ์ หรือโทรศัพท์มือถือของเราแล้ว อาจจะทำให้เหล่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลในอุปกรณ์ของพวกเราได้จากระยะทางไกล โดยเเฮกเกอร์จะสามารถโจรกรรมข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็น เลขบัญชีธนาคาร, รหัสธนาคาร, รหัส หรืออาจจะถูกส่ง Malware อันตรายเข้ามายังอุปกรณ์

ซึ่งรูปร่างหน้าตาของสายชาร์จดังกล่าว จะมีหน้าตาคล้ายกับสายชาร์จทั่วไป มีทั้งสายชาร์จแบบ Lightning, Micro-USB หรือ USB-C ก็เลยอาจทำให้หลายคนไม่ทันระวัง ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการถูกแฮกข้อมูล ควรระมัดระวังการใช้สายชาร์จของคนเเปลกหน้า หรือ การเสียบสายชาร์จไฟจากพอร์ทรูปแบบต่างๆตามสถานที่สาธารณะ อาทิเช่น ห้าง, โรงแรม, สถานีโดยสารต่าง ๆ

จิ๊บ คีตภัทร

แฟนคลับสุดคิดถึง เปิดภาพปัจจุบัน ‘จิ๊บ คีตภัทร’ นางเอกดังที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

จัดเป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวยที่หลายๆคนหลงใหลเธอหนักมาก สำหรับสาว จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ฝากผลงานสุดปังเอาไว้เป็นอย่างมาก เช่น กามเทพลวง, กว่าจะรู้เดียงสา, หมอผีไซเบอร์, เบญจา คีตา ความรัก ฯลฯ ถึงแม้เดี๋ยวนี้คุณจะไม่ค่อยส่งผลงานแสดงออกทางหน้าจอให้ได้เห็นกันเท่าไหร่ แต่บอกเลย แฟนคลับรักเธอ และคิดถึงหนักมาก

งานนี้พวกเราเลยไม่พลาด เชิญทำความรู้จักสาว จิ๊บ เบาๆและพาไปดูรูปสวยๆของสาวจิ๊บกัน ที่บอกเลยว่า คุณสวย หุ่นดี และสะดุดตาไม่เปลี่ยนแปลงเลย โดยสาวจิ๊บเกิด|วันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2527 เป็นดาราคนประเทศไทยในสังกัดนักแสดงวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัว อันติมานนท์ เป็นนักแสดงสาวคนประเทศไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้แสดงฝ่ายชายเป็น จิม เจจินตัย แวนดิว

จิ๊บ มีการแสดงงานเรื่องแรก ดังเช่นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกใน ละครหลังข่าว เรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่ง ละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้ คีตภัทร เป็นดาราหนังที่รู้จักกัน และโด่งดังในยุคนั้น ถัดมา คีตภัทร รับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการพลิกบทเป็นนางร้าย และเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ และมีความสามารถ ด้านการแสดงอีกมากมายนั่นเอง

โดยหลังจาก จิ๊บ เบาๆงานในวงการบันเทิงไป จากทางจอ ก็ทำเอาแฟนๆนึกถึงหนักมาก พากันมาส่องไอจีของเธอ และบอกรัก บอกคิดถึง รวมถึงส่องชีวิตสุดปังของเธอ กันเป็นอย่างมาก

จิ๊บ คีตภัทร เปิดภาพปัจจุบัน

​​ทำความรู้จัก สวยเก่งครบสูตร จิ๊บ คีตภัทร อดีตนางเอกดังยุค 90

เป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวย ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานมากๆสำหรับ จิ๊บ คีตภัทรน้องสาวของศิลปินชายหนุ่ม จิม เจจินตัย อันติมานนท์ โดยทั้ง จิ๊บ และ เจจินตัย เป็นนักแสดงที่โด่งดังมากมายในยุค 90 ถ้าหากใครเคยเห็นละครดังช่อง 7 อย่างเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก หรือ กว่าจะรู้เดียงสา มั่นใจว่าต้องคุ้นตา จิ๊บ คีตภัทรวันนี้ เราจะพามาทำความรู้จักจิ๊บ คีตภัทร กันอีกรอบ เผื่อผู้ใดที่ยังไม่ทราบ หรือ จำสาวคนนี้มิได้

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ

เกิดเมื่อวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2527

เป็นนักแสดงชาวในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

จิ๊บ คีตภัทรเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์

จิ๊บ เป็นนักแสดงสาวคนประเทศไทยซึ่งเป็นน้องสาวของ ผู้แสดงฝ่ายชายคือ จิม เจจินตัย อันติมานนท์

สำหรับเรื่องของการเข้าวงการบันเทิงของจิ๊บ คีตภัทร นั้น คุณเริ่มเข้าสู่วงการสายบันเทิงไทย เป็นดาราหนังในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

และส่งผลงานเรื่องแรกได้แก่ กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในหน้าที่ แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่งละครเรื่อง ลูกหลง ซึ่ง จิ๊บ ส่งผลงานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คุณเป็นดาราที่รู้จักกัน และเป็นที่รู้จักในยุคนั้น และอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักคือเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก ซึ่ง จิ๊บ รับงานละครหลายๆเรื่องและเป็นการพลิกบทบาทเป็นนางร้ายและเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ และมีความสามารถด้านการแสดงเป็นอย่างมาก

พักหลังๆเธอได้เฟดตัวออกมาจากวงการบันเทิง และยังทำงานมีธุรกิจส่วนตัว รวมถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย และนอกจากนี้ จิ๊บ ยังเป็นพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารไทย ที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle อเมริกา อีกด้วย ต้องกล่าวว่า สาวคนนี้ ทั้งสวย มากความสามารถ ครบสูตรจริงๆ

จิ๊บ คีตภัทร ปัจจุบัน

“จิ๊บคีตภัทร” จ่อฟ้อง! สับเละคนปล่อยข่าว นางเอก จ. กระทบครอบครัว-แฟน

หลังจากที่ผู้ใช้ ติ๊กต๊อก รายหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยใจความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนหนุ่มอัดคลิปแบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็วๆ นี้เจ้าตัวเตรียมแถลงข่าวแน่นอน”

ต่อมา ก็ได้โพสต์อีกว่า “โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

จนทำให้ชาวเน็ตแอบเดากันไป ต่างๆนานา ว่าอดีตนางเอกจ. ช่องหลายสีคือใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นแอบมีคนผุดชื่อขึ้นมา ว่าใช่ “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” ผู้แสดงสาวยุค 90 หรือเปล่า ทำให้วันนี้ (13 เดือนมกราคม) เจ้าตัวจะต้องรีบออกมาแจกแจงผ่านไอจี ว่าตนเองไม่ใช่คนในข่าวอย่างไม่ต้องสงสัย พร้อมจะฟ้องร้องตามกฎหมาย กับคนที่ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิและ ความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”

ดนตรี และศิลปะการแสดง

กรุงเทพฯ เปิดนโยบายสนับสนุนพื้นที่สำหรับ “ดนตรีและศิลปะการแสดง” สร้างเมืองสร้างสรรค์สำหรับทุกคน

แม้ว่า “อุตสาหกรรม ดนตรี รวมทั้ง ศิลปะการแสดง” จะหนึ่งใน 15 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ให้คำนิยามไว้ แต่ว่าบุคลากร แล้วก็ ผลงานสร้างสรรค์ประเภทนี้ ก็ยังขาดการผลักดันอย่างจริงจัง

และก็ เผชิญปัญหา สำหรับเพื่อการสร้างงานให้เป็นอาชีพ โดยยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย สำหรับศิลปินในแวดวงดนตรี และก็ การแสดง เป็นอย่างมาก

จังหวัดกรุงเทพ ได้เล็งเห็นจุดสำคัญของงานสร้างสรรค์ลักษณะนี้ จึงได้จัดพื้นที่สำหรับดนตรี รวมทั้ง ศิลปะการแสดง ให้กับประชาชนทั่วไปได้ร่วม

โดยจัดงานแถลงข่าวนโยบายด้านการช่วยสนับสนุนพื้นที่สำหรับดนตรี และ การแสดง ในจังหวัดกรุงเทพ ช่วงวันที่ 10 เดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ก่อนหน้าที่ผ่านมา ณ สวนสันติชัยปราการ

พร้อมด้วย วงเสวนาเรื่อง “ความท้าทาย รวมทั้ง นโยบายการขับเคลื่อนเมืองด้วยงานสร้างสรรค์ด้านดนตรี และก็ ศิลปะการแสดง” รวมทั้ง การแสดงของศิลปินมากความสามารถ

กรุงเทพฯ เปิดนโยบาย

ขับเคลื่อนเมืองด้วยงานสร้างสรรค์

“พื้นที่สาธารณะเป็นเหมือน “ปากของเมือง” เมืองที่ไม่มีพื้นที่สาธารณะเปิดให้คนในเมืองมาลองแสดงไอเดีย ก็เหมือนเมืองที่ถูกปิดปาก แต่ว่าถ้า พวกเราเปิดสวน เปิดพื้นที่สาธารณะ ก็เหมือนเป็นการเปิดปากให้กับเมือง รวมทั้ง เมื่อเมืองเปิดพื้นที่สาธารณะให้เมืองได้แสดงแล้ว เรา จะเห็นจริงๆว่า เอกลักษณ์ของเมืองนี้เป็นอย่างไร แล้วความน่ารักของเมืองที่ซ่อนอยู่ มันเป็นยังไง”

พงศ์สิริ เหตระกูล หนึ่งในผู้แทนคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์กรุงเทพฯ กล่าว

ตุล ไวฑูรเกียรติ นักดนตรีชื่อดัง และก็ ผู้แทนคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์กรุงเทพฯ สะท้อนว่า ดนตรี แล้วก็ ศิลปะการแสดง คือ ทุกมุมมองของชีวิต มันคือภาษา วัฒนธรรม และ สามารถทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ด้วยเหมือนกัน

ด้านกฤษณ์ สงวนปิยะพันธ์ นักแสดงสตรีทโชว์ อีกหนึ่งผู้แทนคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์กรุงเทพฯ ก็ชี้ว่า ความท้าทายของการทำงานขับเคลื่อนเรื่องศิลปะในเมือง คือการเปลี่ยนวิธีคิดของคนในสังคม จากแนวคิดที่ว่า ศิลปะจะเกิดขึ้นได้ เมื่อบ้านเมืองไม่มีปัญหาเรื่องปากท้อง จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ศิลปะ และ งานสร้างสรรค์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ทำให้ศิลปะเข้าถึงประชาชนทุกคน

“มันไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้ และ เศรษฐกิจ แต่คือเรื่องของสภาพจิตใจ คือ สิ่งสำคัญ ถ้าหากจะกล่าวถึงแนวนโยบายสร้างสรรค์ มันจำเป็นต้องกล่าวกับเมืองในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่รอให้พื้นฐานดี แล้วศิลปะจะเกิด

ถ้าเช่นนั้น ศิลปิน ก็จะไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำยังไงพวกเรา ถึงจะส่งเสริมศิลปะ โดยที่ไม่ต้องรอคอยให้ทุกอย่างมันดี แต่ว่าให้ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองสร้างสรรค์ แล้วก็ ช่วยแก้ไขปัญหาของเมืองดีกว่า” กฤษณ์ ระบุ

“สิ่งที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ส่งเสริมได้ คือ เรื่องการทำให้มีการเกิด Soft Power ซึ่งคำนี้กล่าวกันเยอะ แต่รูปธรรม คืออะไร สิ่งหนึ่งที่จ.กรุงเทพฯ สามารถปลดล็อก และก็ ทำให้เปิดกว้างให้กับประชาชนได้จริงๆ ก็คือ

พื้นที่สาธารณะ หรือ บางโซนที่เรา รู้สึกว่า สามารถเปิดให้นักเล่นดนตรีที่ยังไม่ใช่มืออาชีพ มาแสดงศักยภาพได้ ซึ่งจังหวัดกรุงเทพมหานคร ควรทำให้มีพื้นที่อย่างนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเศรษฐกิจสร้างสรรค์ถึงจะเกิดขึ้นได้จริง เรา ถึงจะมีพื้นที่ มีบุคลากรเก่งๆด้านนี้ได้”

กรุงเทพฯ เปิดนโยบาย ดนตรี และศิลปะการแสดง

 

ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ชี้

กรุงเทพฯ นำร่องพื้นที่ “โซนใช้เสียง”

เนื่องจากว่า ตั้งใจที่จะเปิดพื้นที่สาธารณะให้เป็นพื้นที่เอนกประสงค์รองรับกิจกรรมที่หลากหลาย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ก็เลยทดลองนำร่อง “โซนใช้เสียง” ในพื้นที่ 12 สวนสาธารณะ ครอบคลุม 6 โซนทั่วจ.กรุงเทพฯ

และ เปิดให้ผู้จะนำอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีมาเล่น หรือ ฝึกซ้อมการแสดงในโซนนี้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎที่ระบุไว้อย่างเคร่งครัด

บริเวณที่จัดให้เป็นโซนใช้เสียง มีดังต่อไปนี้

1. สวนลุมพินี เขตปทุมวัน: ศาลาภิรมย์ภักดี และ เวทีบันเทิง (2 จุด)
2. สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย: ลานแสดงกลางแจ้ง, ลานใกล้ทางขึ้นสกายวอล์ค (2 จุด)
3. อุทยานเบญจสิริ เขตคลองเตย: ลานนก
4. สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เขตจตุจักร: ลานหญ้า บริเวณประตูจอดรถ
5. สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร: ขั้นบันไดริมกำแพงป้อมพระสุเมรุ
6. สวนรมณีนาถ เขตพระนคร: ลานหน้าประตูคุกเก่า
7. สวน 60 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (เคหะร่มเกล้า) เขตลาดกระบัง: ลานแอโรบิก
8. สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม: ลานเอนกประสงค์
9. สวนเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบฯ (สะพานพระราม 9): ศาลาดนตรีไทย
10. สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (สวนบางขุนนนท์) เขตบางกอกน้อย: ลานกิจกรรมริมบึง
11. สวนหลวงพระราม 8 เขตบางพลัด: ศาลาแปดเหลี่ยมริมน้ำ
12. สวนธนบุรีรมย์เขตทุ่งครุ: ลานนั่งเล่นแปลง 1, ลานแปลงปาล์ม, ลานกิจกรรมแอโรบิก (3 จุด)

กิจกรรม ดนตรี ในสวน

เทศกาล Colorful Bangkok 2022 เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นระหว่างพฤศจิกายน 2565 – ม.ค. 2566 ซึ่งมี เทศกาลศิลปะสร้างสรรค์ เทศกาลแสงสี และ เทศกาลดนตรี โดยมกราคม นับว่าเป็นเดือนของเทศกาลดนตรี ที่จังหวัดกรุงเทพ จะจัดกิจกรรม “ดนตรีในสวน” 28 ครั้ง ใน 10 พื้นที่

ทั้งในสวนสาธารณะ ศูนย์เยาวชน และ มิวเซียมสยาม โดยมีอีกทั้งงานที่จัดโดยกรุงเทพฯ และก็ องค์กรภาคี มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างพื้นที่แสดงความสามารถให้กับศิลปิน เยาวชน คนทั่วๆไป รวมทั้ง ศิลปินหน้าใหม่

ศิลปินมีชื่อเสียงจากค่ายเพลงต่างๆ ได้เดินทางมาร่วมงานแถลงข่าว เหมือนกับจะเข้าร่วมสร้างสีสันให้กับเทศกาลดนตรีในสวน ที่จะจัดขึ้นตลอดทั้งเดือนมกราคม ยกตัวอย่างเช่น SpicyDisc, Muzik Move, Idol Exchange, Space bar Music Hub, Papa Dude แล้วก็ ยังมีอีกหลายค่ายที่แสดงความสนใจส่งศิลปินร่วมกิจกรรม

นอกเหนือจากนั้น ทรงกรุงเทพฯ ยังร่วมมือกับบริษัท ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) เพื่อทุกเพลงที่ประยุกต์ใช้แสดงในกิจกรรม เป็นเพลงที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ รวมทั้ง นักแต่งเพลง รวมทั้ง ศิลปิน จะมีรายได้จากผลงานเพลงที่แต่งไว้อีกด้วย

โครงการ Bangkok Street Performer ศิลปินเปิดหมวกกรุงเทพฯ

อีกหนึ่งนโยบายสนับสนุนให้พื้นที่สาธารณะของกรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่แห่งดนตรี และก็ ศิลปะการแสดง (สตรีทโชว์) ทางกรุงเทพมหานคร ก็เลยเปิดรับสมัครศิลปิน และ นักแสดง
(ทั้งยังศิลปินเดี่ยว รวมทั้ง กลุ่ม) ประเภทเยาวชน แล้วก็ บุคคลทั่วไป เพื่อเล่นดนตรี และ แสดงสตรีทโชว์แบบเปิดหมวกได้ในพื้นที่สาธารณะ

จังหวัดกรุงเทพ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ – 17 มกราคม 2566 (เวลา 23.59 น.) และก็ จะมีการพิจารณาผล โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวงการดนตรี และ การแสดง ประกาศผลศิลปินที่ผ่านการคัดเลือก ในวันที่ 20 ม.ค. 2566 ผ่านทางเฟสบุ๊กแฟนเพจ: จังหวัดกรุงเทพ แล้วก็ ทางอีเมล (สำหรับผู้ได้รับการคัดเลือกเพียงแค่นั้น)

กิจกรรมดนตรีในสวน

ศิลปิน ดนตรี ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็น Bangkok Street Performer

  • จะได้รับ BKK Street Performer ID ซึ่งถือเป็นการการันตีคุณภาพศิลปิน โดย ID จะมีอายุ 1 ปี (สามารถต่ออายุได้ เมื่อถึงกำหนด)
  • ศิลปินสามารถนำ ID ดังที่กล่าวมาแล้ว มาจองพื้นที่ เพื่อกระทำการแสดงได้ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ และ สามารถเลือกวัน เวลา รวมทั้ง สถานที่ที่ต้องการได้
  • โดยทางกรุงเทพฯ เป็นผู้กำหนดบริเวณทำการแสดงในพื้นที่สาธารณะต่างๆ พร้อม slot ในเวลาที่อนุญาตให้จองพื้นที่ได้ (ทดลองการจองพื้นที่ และก็ ทำการแสดงในมกราคม 2566 และก็ จะพิจารณาดำเนินการตลอด หากไม่มีข้อติดขัด)
  • ศิลปินสามารถกระทำการแสดงแบบเปิดหมวก เพื่อหาเงินจากความพึงพอใจของผู้ชมได้ โดยผู้ชมไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้จ่าย รวมทั้ง ห้ามมีการค้าขายสินค้าอื่นๆ
  • ศิลปินบางทีอาจได้รับเชิญให้ไปกระทำการแสดงในกิจกรรมดนตรีในสวน รวมทั้ง กิจกรรมอื่นๆ ที่จัดโดยกรุงเทพฯ หรือ ที่จังหวัดกรุงเทพร่วมเป็นเจ้าภาพ
  • ศิลปิน Bangkok Street Performer จะต้องยอมรับ แล้วก็ กระทำตามเงื่อนไข รวมทั้ง กฎระเบียบของโครงการอย่างเคร่งครัด

พื้นที่ที่เปิดให้ศิลปิน Bangkok Street Performer ในโครงการทำการแสดง (ช่วงทดลอง 23 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์)

  •  พื้นที่ในMRTสถานีกำแพงเพชร
  • พื้นที่ในMRTสถานีจตุจักร
  • พื้นที่ในMRTสถานีพระราม 9
  • พื้นที่ในMRTสถานีสุขุมวิท
  • บริเวณทางเชื่อมยกระดับแยกปทุมวัน
  • บริเวณทางเชื่ออมยกระดับแยกสาทร-นราธิวาส
  • บริเวณทางเชื่อมยกระดับห้างไอคอนสยาม